รวม "กุมารทอง" (ทุกวัด ทุกสำนัก) [Engine by iGetWeb.com]

รวม "กุมารทอง" (ทุกวัด ทุกสำนัก)

(อ่าน 8652/ ตอบ 15)

กุมารทอง 1.47.164.17	หัวข้อ :รวม "กุมารทอง" (ทุกวัด ทุกสำนัก) 10/08/2011 , 11:00 Quote 1.). กุมารทอง หลวงพ่อจืด หลวงพ่อจืดสำนักสงฆ์โพธิเศรษฐี เทพเจ้าต่อเงินต่อทอง ต.บ่อพลับ อ.เมือง จ.นครปฐม 086-1695540 ( กุมารทองทรัพย์สมบัติเนื้อผงดิน 7 ป่าช้า ล.พ.จืด สวนปฏิบัติบัติธรรมโพธิฌศรฐี จ. นครปฐม ) 2.) กุมารทอง วัดชุมแสง (กุมารดูดรกบันดาลทรัพย์) พระอาจารย์พระปิยะ 089-825-3124 สำหรับส่งทางไปรษณีย์ ช่วยค่าจัดส่งแบบems -50บาท หมายเลขบัญชี พระปิยะ� สุวณณปญโญ ธ. กรุงไทย สำนักงานสาขาพนัสนิคม หมายเลขบัญชี 209-0-05098-5 ( http://kumarntalk.net/webboard-id10225.html ) 3.) พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงตาช้วน ขันตจิตโต" วัดขวาง จ.สุพรรณบุรี ท่านบวชกับ "หลวงพ่อมุ้ย วัดดอนไร่" สมัยเด็กหลวงพ่อมุ้ยให้เงินเป็นประจำ บอกว่า "ต้องให้เด็กคนนี้ มันเกิดมามีทรัพย์ ขาดไม่ได้" หลังบวชแล้วได้มาอยู่กับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เรียนกรรมฐานใหญ่และออกธุดงค์ เดินจนเท้าแตก เพื่อแก้จริต ฝึกกรรมฐานนอนในกองฟอน นอนในโลงผี นอนในป่าช้า จนชาวบ้านร่ำลือกันว่า "หลวงตาช้วนเป็นเพื่อนกับผี" "หลวงตาช้วน" ได้อธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลไว้หลายรุ่น ส่วนใหญ่จะได้รับความนิยมในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา มั่นใจพุทธคุณทางด้านเมตตาและโชคลาภ ล่าสุดท่านได้จัดสร้างและอธิษฐานจิตปลุกเสกเครื่องรางของขลัง "กุมารทองผ้ายันต์แดง" หลวงตาช้วน นิยมเรียกกุมารทองของท่านว่า "ไอ้ทองดำ" เป็นสูตรการสร้างกุมารทองเฉพาะของท่าน "ไอ้ทองดำ" มีสีดำขำเป็นประกายออกสีนิลกาฬ คนเลี้ยงขึ้นเห็นชัด จับทางในรู้ ด้วยตาทิพย์บอกได้ หลวงตาช้วน ได้ประกอบพิธีเชิญจิตเทพชั้นสูงผู้ทรงศีล ที่ต้องการช่วยเหลือสร้างกองบุญกองกุศลมาสถิตประจำในกุมารทององค์ดำ เหตุที่เป็นกุมารทององค์ดำ เพราะหล่อจากของอาถรรพ์ "สูตรตะปูโลงผี สังกะสีวัดร้าง" การปลุกเสกต้องปลุกเสกในโลงศพในกองฟอน ในเถ้าถ่าน มีสิ่งที่เห็นบนตาเนื้อว่าเป็นสีดำ แต่ญาณที่แฝงมาอยู่ในกุมาร นั้นมีร่างกายโปร่งแสงใสสว่าง เพราะเป็นเทพที่บริสุทธิ์ อีกคำหนึ่งที่แฝงโดยนัย ในการเลี้ยงกุมารทองดำ คือ กุมารที่แกร่งแข็ง มีฤทธิ์ เป็นลูกโทน หรือหมายถึงเก่งนั้นเอง อุดด้วยของมีอาถรรพ์ 7 อย่างคือ 1.ดินเจ็ดป่าช้า เป็นดินที่มีพลังงานมากที่สุด เพราะเป็นดินสองภพ ผ่านวิญญาณ เปิดประตูโลกธาตุ 2.ดินเจ็ดโป่ง, ดินขุยปู เป็นดินขุดจากรูปู และจอมปลวก ถือว่าเป็นมวลสารที่วิเศษยิ่ง เพราะจะมีเทวดาอารักษ์รักษา ตามตำรับใบลานทอง ที่แต่โบราณ ขุยปูเหมือนขุมทองรวยไว 3.ดินเจ็ดท่า เป็นดินที่ได้จากท่าน้ำต่างๆ 7 แห่ง มีคนสัญจรไปมาค้าขาย หรือเดินทาง จะมีพลัง ทำให้กิจการค้าดี มีคนนิยม คนชมคนชอบ 4.ดินเจ็ดสวน, เจ็ดไร่, เจ็ดนา ดินงอก งาม ดินออกผล เหมาะแก่การเพาะปลูก สวนไหน ไร่ไหน ผลิดอกออกผลมากก็จะนำดินของสวนนั้นๆ มาเป็นมวลสาร 5.ดินเจ็ดวัด, เจ็ดไคล ถือว่าเป็นดินขลังมีอิทธิฤทธิ์ มีเทวดารักษา ไคลเสมา เจดีย์ ดินหน้าโบสถ์ เป็นของสูง เพราะรับพลังสวดมนต์แรงบวชพระ มาเป็นร้อยๆ ปี มีความศักดิ์สิทธิ์มาก 6.ดินเจ็ดถ้ำ เป็นดินที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะถือว่าเป็นที่สถิตของเหล่าฤาษีเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา ถือว่าเป็นดินพิเศษอย่างยิ่ง 7.เถ้ากระดูก สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นมวลสารที่เหมือนร่างกายของมนุษย์ ต้องมีกระดูกบรรจุอยู่เป็นธาตุที่ขาดไม่ได้ โดยใช้ขี้เถ้ากระดูกเด็ก ปลุกธาตุขันธ์ให้เป็นผงพราย (เอามาแต่ธาตุให้แรงเท่านั้น ไม่เอาวิญญาณมาเกี่ยว) ให้กุมารทองดำ มีฤทธิ์เดชมากขึ้น สำหรับคาถาปลุกกุมารทองดำ ท่องนะโม 3 จบ แล้วว่า กุมารดำ อมฤทธิ์ พิชิตชัย พิชิตโชค โภคผล มนต์ชนะ เอหิชัยโย เอหิชัยยะ มหาลาภะ มหาลาภัง จิตติ จิตตัง ปิยังมะมะ ให้กุมารช่วยอะไรให้ว่าไป ข้าวน้ำ หาให้ตามสมควร ให้จุดธูป 5 ดอกบอกเจ้าที่ จุดธูป 3 ดอกบอกพระที่บ้านในวันแรกที่เอากุมารเข้าบ้าน บูชากุมารจุดธูป 9 ดอก หลวงตาช้วนทำผ้ายันต์แดงเขียนด้วยดินสอกำกับ วัดขวาง ต.ศาลาขาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โทรศัพท์. 081-1957224 1.). กุมารทอง หลวงพ่อจืด หลวงพ่อจืดสำนักสงฆ์โพธิเศรษฐี เทพเจ้าต่อเงินต่อทอง ต.บ่อพลับ อ.เมือง จ.นครปฐม 086-1695540 ( กุมารทองทรัพย์สมบัติเนื้อผงดิน 7 ป่าช้า ล.พ.จืด สวนปฏิบัติบัติธรรมโพธิฌศรฐี จ. นครปฐม ) 2.) กุมารทอง วัดชุมแสง (กุมารดูดรกบันดาลทรัพย์) พระอาจารย์พระปิยะ 089-825-3124 สำหรับส่งทางไปรษณีย์ ช่วยค่าจัดส่งแบบems -50บาท หมายเลขบัญชี พระปิยะ� สุวณณปญโญ ธ. กรุงไทย สำนักงานสาขาพนัสนิคม หมายเลขบัญชี 209-0-05098-5 ( http://kumarntalk.net/webboard-id10225.html ) 3.) พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงตาช้วน ขันตจิตโต" วัดขวาง จ.สุพรรณบุรี ท่านบวชกับ "หลวงพ่อมุ้ย วัดดอนไร่" สมัยเด็กหลวงพ่อมุ้ยให้เงินเป็นประจำ บอกว่า "ต้องให้เด็กคนนี้ มันเกิดมามีทรัพย์ ขาดไม่ได้" หลังบวชแล้วได้มาอยู่กับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เรียนกรรมฐานใหญ่และออกธุดงค์ เดินจนเท้าแตก เพื่อแก้จริต ฝึกกรรมฐานนอนในกองฟอน นอนในโลงผี นอนในป่าช้า จนชาวบ้านร่ำลือกันว่า "หลวงตาช้วนเป็นเพื่อนกับผี" "หลวงตาช้วน" ได้อธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลไว้หลายรุ่น ส่วนใหญ่จะได้รับความนิยมในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา มั่นใจพุทธคุณทางด้านเมตตาและโชคลาภ ล่าสุดท่านได้จัดสร้างและอธิษฐานจิตปลุกเสกเครื่องรางของขลัง "กุมารทองผ้ายันต์แดง" หลวงตาช้วน นิยมเรียกกุมารทองของท่านว่า "ไอ้ทองดำ" เป็นสูตรการสร้างกุมารทองเฉพาะของท่าน "ไอ้ทองดำ" มีสีดำขำเป็นประกายออกสีนิลกาฬ คนเลี้ยงขึ้นเห็นชัด จับทางในรู้ ด้วยตาทิพย์บอกได้ หลวงตาช้วน ได้ประกอบพิธีเชิญจิตเทพชั้นสูงผู้ทรงศีล ที่ต้องการช่วยเหลือสร้างกองบุญกองกุศลมาสถิตประจำในกุมารทององค์ดำ เหตุที่เป็นกุมารทององค์ดำ เพราะหล่อจากของอาถรรพ์ "สูตรตะปูโลงผี สังกะสีวัดร้าง" การปลุกเสกต้องปลุกเสกในโลงศพในกองฟอน ในเถ้าถ่าน มีสิ่งที่เห็นบนตาเนื้อว่าเป็นสีดำ แต่ญาณที่แฝงมาอยู่ในกุมาร นั้นมีร่างกายโปร่งแสงใสสว่าง เพราะเป็นเทพที่บริสุทธิ์ อีกคำหนึ่งที่แฝงโดยนัย ในการเลี้ยงกุมารทองดำ คือ กุมารที่แกร่งแข็ง มีฤทธิ์ เป็นลูกโทน หรือหมายถึงเก่งนั้นเอง อุดด้วยของมีอาถรรพ์ 7 อย่างคือ 1.ดินเจ็ดป่าช้า เป็นดินที่มีพลังงานมากที่สุด เพราะเป็นดินสองภพ ผ่านวิญญาณ เปิดประตูโลกธาตุ 2.ดินเจ็ดโป่ง, ดินขุยปู เป็นดินขุดจากรูปู และจอมปลวก ถือว่าเป็นมวลสารที่วิเศษยิ่ง เพราะจะมีเทวดาอารักษ์รักษา ตามตำรับใบลานทอง ที่แต่โบราณ ขุยปูเหมือนขุมทองรวยไว 3.ดินเจ็ดท่า เป็นดินที่ได้จากท่าน้ำต่างๆ 7 แห่ง มีคนสัญจรไปมาค้าขาย หรือเดินทาง จะมีพลัง ทำให้กิจการค้าดี มีคนนิยม คนชมคนชอบ 4.ดินเจ็ดสวน, เจ็ดไร่, เจ็ดนา ดินงอก งาม ดินออกผล เหมาะแก่การเพาะปลูก สวนไหน ไร่ไหน ผลิดอกออกผลมากก็จะนำดินของสวนนั้นๆ มาเป็นมวลสาร 5.ดินเจ็ดวัด, เจ็ดไคล ถือว่าเป็นดินขลังมีอิทธิฤทธิ์ มีเทวดารักษา ไคลเสมา เจดีย์ ดินหน้าโบสถ์ เป็นของสูง เพราะรับพลังสวดมนต์แรงบวชพระ มาเป็นร้อยๆ ปี มีความศักดิ์สิทธิ์มาก 6.ดินเจ็ดถ้ำ เป็นดินที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะถือว่าเป็นที่สถิตของเหล่าฤาษีเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา ถือว่าเป็นดินพิเศษอย่างยิ่ง 7.เถ้ากระดูก สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นมวลสารที่เหมือนร่างกายของมนุษย์ ต้องมีกระดูกบรรจุอยู่เป็นธาตุที่ขาดไม่ได้ โดยใช้ขี้เถ้ากระดูกเด็ก ปลุกธาตุขันธ์ให้เป็นผงพราย (เอามาแต่ธาตุให้แรงเท่านั้น ไม่เอาวิญญาณมาเกี่ยว) ให้กุมารทองดำ มีฤทธิ์เดชมากขึ้น สำหรับคาถาปลุกกุมารทองดำ ท่องนะโม 3 จบ แล้วว่า กุมารดำ อมฤทธิ์ พิชิตชัย พิชิตโชค โภคผล มนต์ชนะ เอหิชัยโย เอหิชัยยะ มหาลาภะ มหาลาภัง จิตติ จิตตัง ปิยังมะมะ ให้กุมารช่วยอะไรให้ว่าไป ข้าวน้ำ หาให้ตามสมควร ให้จุดธูป 5 ดอกบอกเจ้าที่ จุดธูป 3 ดอกบอกพระที่บ้านในวันแรกที่เอากุมารเข้าบ้าน บูชากุมารจุดธูป 9 ดอก หลวงตาช้วนทำผ้ายันต์แดงเขียนด้วยดินสอกำกับ วัดขวาง ต.ศาลาขาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โทรศัพท์. 081-1957224 Tweet
กุมารทอง 1.47.164.17	ความคิดเห็นที่ 1 10/08/2011 , 11:41 Quote 6.) กุมารทอง วัดไผ่เงิน วัดไผ่เงินโชตนาราม แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 2335 เดิมชื่อว่า "วัดไผ่ล้อม" ต่อมาราชการได้เวนคืนที่ดินตำบลคลอง เตย ซึ่ง "วัดเงิน" ตั้งอยู่เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้วัดเงินจึงได้รื้อเสนาสนะมาสร้างรวมกับวัดไผ่ล้อม แล้วเปลี่ยนนามเป็น "วัดไผ่เงิน" เมื่อปีพ.ศ.2482 ต่อมาทางวัดได้อัญเชิญ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" ซึ่งเป็นพระประธานจากวัดโชติกา ราม (วัดพระยาไกร) ที่ได้กลายเป็นวัดร้าง พร้อมกับย้ายเสนาสนะมาร่วมสร้างที่ "วัดไผ่เงิน" จึงเท่ากับเป็นการรวมทั้ง 3 วัดเข้าไว้ด้วยกัน และเปลี่ยนนามวัดเป็น "วัดไผ่เงินโชตนาราม" เมื่อปี 2483 ภายในพระวิหารมีหลวงพ่อสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนปลายต่อสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื้อสัมฤทธิ์หน้าตักกว้าง 104 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ในสมัยกรุงธนบุรี เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไป ล่าสุด "วัดไผ่เงินโชตนาราม" ได้จัดสร้างวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลัง ซึ่งกำลังเป็นที่โด่งดังด้านเมตตา โชคลาภ ค้าขาย ในรูปแบบ "กุมารทองสายเทพ" โดยตั้งชื่อว่า "กุมารทองเทพอุดมโชค" พูดถึง "กุมารทอง" ในขณะนี้นับว่ามาแรงมากในหมู่นักสะ สม ประสบการณ์ด้านพลานุภาพด้านเมตตาโชคลาภ ค้าขาย ว่ากันว่าเคล็ดตำราการสร้างและปลุกเสกกุมารทองนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ส่วนกุมารทองเทพที่วัดไผ่เงินโชตนารามได้จัดสร้างขึ้นนี้ เป็น "กุมารทองสายเทพ" ไม่ใช่ "กุมารทองผี" โดยขนานนามอันเป็นอุดมมงคลว่า "เทพอุดมโชค" คำว่า "อุดมโชค" หมายถึงความเป็นผู้อุดมสมบูรณ์ในด้านต่างๆ อาทิ ด้านโชคลาภ-เงินทอง-ความสำเร็จในสิ่งต่างๆ สมบูรณ์พูนผลในสิ่งที่ปรารถนา เป็นต้น กุมารทองเทพอุดมโชค (นั่งถือถุงเงิน ถุงทอง รับทรัพย์) ได้จัดสร้างขึ้นประกอบไปด้วย 1.เนื้อสัมฤทธิ์โชคหล่อโบราณใต้ฐานฝังตะกรุดนะมหานิยม สร้างจำนวน 10,000 ตน บูชาตนละ 199 บาท 2.เนื้อผงพุทธคุณ ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 3,000 ตน บูชาตนละ 99 บาท 3.เนื้อผงว่าน 108 ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 3,000 ตน บูชาตนละ 99 บาท 4.เนื้อผงธูปบูชาพระ ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 3,000 ตน บูชาตนละ 99 บาท 5.เนื้อก้นครก ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 1,000 ตน บูชาตนละ 150 บาท ในตำราการสร้างกุมารทองนั้น พระโบราณาจารย์ท่านกล่าวว่า "ผู้ปลุกเสกกุมารทองได้ขลังนั้นต้องมีอำนาจสมาธิพลังจิตที่แก่กล้า และต้องประ กอบไปด้วยพระ เวทมนตราคมที่แก่กล้า และเชี่ยวชาญตำราการสร้าง-ปลุกเสกกุมารทองอย่างแท้จริง ถึงจะปลุกเสกได้ขลังนัก หากมีแต่วิชาอาคม ไม่เป็นกรรมฐาน ขาดสมาธิพลังจิตก็ปลุกเสกยากที่จะขลัง และก็ไม่ขลังเป็นอมตะ เพราะฉะนั้นจะขาดซึ่งสมาธิพลังจิตไปไม่ได้ ทั้ง 2 อย่างนี้ต้องไปด้วยกัน วัตถุมงคลนั้นก็จะมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นอมตะตลอดกาล" ประการแรกของผู้ที่จะปลุกเสกวัตถุมงคลนั้น ต้องมีกรรมฐานแน่นเสียก่อน ถึงจะเสก ขลังกรรมฐานไม่แน่น หรือกรรมฐานแตก มีจิตฟุ้งซ่านเสกนานยังไงก็ยากที่จะขลัง ในการนี้วัดไผ่เงินโชตนารามจึงได้ขอความเมตตาอนุเคราะห์จาก "หลวงพ่อรักษ์ อนาลโย" เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาสวิปัสสนา ต.ลาดบัว หลวง อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิอาจารย์ชื่อดังสายอยุธยา เจ้าแห่งตะกรุด 30 ทัศ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ผู้พลิกฟื้นตำรับวิชากุมารทองสายเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ สนใจร่วมบุญบูชากุมารทองเทพอุดมโชค ติดต่อได้ที่วัดไผ่เงินโชตนาราม โทร. 08-9694-2877, พระปลัดบุญเจิด สุจิตโต โทร. 08-9679-9236 หรือบูชาทางไปรษณีย์สั่งจ่ายในนาม พระครูวินัยธรสมชาย วัดไผ่เงินโชตนาราม แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ 10120 (เพิ่มค่าจัดส่งครั้งละ 50 บาท) รายได้เพื่อสมทบทุนการศึกษาพระปริยัติธรรม และทุนอาหารกลางวันพระภิกษุ-สามเณร วัดไผ่เงินโชตนาราม 7.) กุมารทอง วัดบางน้ำชน (กุมารทองมั่งคั่ง) ขอเชิญร่วมบูชา กุมารมั่งคั่ง ของท่านพระอาจารย์ศุภสิทธิ์ วัดบางน้ำชน ถนนเจริญนคร แขวงบุคคโล กรุงเทพฯ� ปัจจัยจากการบูชาท่านพระ อาจารย์นำไปสร้างอุโบสถ วัดพระธาตุจอมหงษ์ จังหวัดเชียงราย� ซึ่งขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างไปประมาณ 20 % ท่านพระอาจารย์ศุภสิทธิ์ ได้เดินทางไปเป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา ร่วมบุญกุศลพร้อมได้รับกุมารมั่งคั่ง พิธีดี ปลุกเสกดี วัตถุ ประสงค์ดี สามารถติดต่อบูชาได้ที่� ท่านพระอาจารย์ศุภสิทธิ์ วัดบางน้ำชน ที่โทร 080-677-4008 ติดต่อร่วมบูชาและทำบุญได้โดยตรงครับ ประวัติพระอาจารย์พระศุภสิทธิ์ วัดบางน้ำชน แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ชีวประวัติของท่านมีนาม ศุภสิทธิ์ ริจนา เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2525 บ้านเลขที่ 272/2 ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย โยมบิดา นายแดง – โยมมารดา นางจริง ช่วงปฐมวัยท่านเป็นคนสนใจเรื่องวิชาอาคมมากมักจะไปคุยกับหลวงพ่อที่บ้านเกิดท่านเมื่อมีเวลา จนท่านเรียนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านสบสม อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมื่อจบการศึกษาก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีดอนชัย ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย โดยมี พระครูโสภณจริยกิจ เป็นอุปัชฌาย์ ณ.วัดศรีดอนชัย ท่านก็ได้ร่ำเรียนวิชาทางโลกและทางธรรมจนจบและยังได้เรียนวิชาอาคมกับพระอุปัชฌาย์ของท่านเพียงเล็กๆ น้อยเพื่อศึกษาไว้ และท่านก็ยังได้รับการสอนจากวัยยาวัชกรวัดสอนวิชาอ๋อปัญญา(ปัญญาดี) ให้อีก การศึกษามัธยมชั้นปีที่ 3 ท่านก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ อ.เทิง ณ วัดอำมาตย์ ท่านก็ได้ร่ำเรียนต่อชั้นปีที่ 4-6 ต่อจนจบและท่านก็ยังได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงตาทองคำ ท่านเป็นพระที่ธุดงมาจากสิบสองปันนา ท่านก็ได้สอนวิชาเสน่ห์ เช่นขุนแผน และวิชาอิ่น ต่าง ๆ และวิชาอื่น ๆ อีกมากมายให้ และวิชาคงกระพันให้ด้วย ท่านบอกว่าวิชานั้นท่านได้สืบทอดกันมาตามสายโลหิตท่าน แต่ท่านรักเสมือนลูกท่านก็เลยสอนให้ และกำชับว่าอย่าสอนใครถ้าไม่ใช่สายโลหิตของตนเองก็เลยที่มาของขุนแผนจอมเจ้าชู้ และอิ่นคู่พรายเสน่ห์หา แล้วท่านก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มาจำพรรษา ณ วัดนางชี เขตภาษีเจริญ ท่านก็ได้มาเรียนทางโลกไปด้วยท่านได้เรียนปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาลัยสงฆ์ ระหว่างที่เรียนท่านก็ได้พบกับโยมที่มาทำงานเป็นช่างก็สนิทสนมกัน โยมก็ได้สอนวิชาอาคมที่โยมได้เรียนมาเป็นวิชา พ่องั่ง แม่มานี ท่านบอกว่าพ่องั่งแม่มานีเป็นวิชาที่ท่านเรียนกับตาทวดของช่างเพราะตาของโยมคนนี้ท่านเป็นคนมีวิชาอาคมในหมู่บ้านนั้นโยมช่างคนนี้ก็ได้สืบทอดมาจากตาของท่าน พอท่านอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2544 ที่วัดนางชี ต.ปากคลอง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยมี พระราชปัญญาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาวิเชียร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสมจิตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้วท่านก็ได้ศึกษาทางโลกต่อได้ประมาณ 3 ปีท่านก็ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดบางน้ำชน แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพฯ พอท่านเรียนทางโลกจบ ท่านก็ได้เจอกับพระที่มาบวชใหม่ก็ได้ชวนไปเที่ยวที่บ้านอาจารย์ของท่าน ก็ได้ไปด้วยและได้เจอกับฆารวาสท่านหนึ่งที่ได้มีวิชาอาคม ท่านก็ได้คุยกับอาจารย์ไปมาอาจารย์ท่านก็บอกว่าถ้าท่านอยากเรียนก็ให้เข้ามาหาใหม่เพื่อดูว่าท่านจะมีสติปัญญา ในการสนใจที่รักในวิชาอาคมนี้หรือไม่ หลังจากอาจารย์ท่านเห็นว่าท่านมีความตั้งใจอาจารย์ก็จะสอนให้ หลังจากนั้นก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ทรัพย์ พรหมโณ ท่านก็ได้สอนวิชาสีผึ้ง กุมารทอง และวิชาอื่นๆ ให้อีกมากมาย � � หลังจากนั้นท่านก็อาจารย์ทรัพย์ก็ได้พากับฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อนพวรรณ วัดเสนานิมิต และท่านก็ได้สอนคติคำคมว่า อาจารย์เราจะเป็นยาจกหรือขอทาน ถ้าท่านเหล่านั้นมีวิชาดี มีของดี แล้วท่านก็จะขอฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านบอกว่าเราควรคัดแยกสิ่งที่ดีและไม่ดีของตัวอาจารย์ เราควรนำสิ่งดีๆ มาไม่ใช่ว่าเห็นเค้าเป็นขอทานก็อายว่าเค้าเป็นขอทานไม่อยากเป็นศิษย์ ท่านก็ได้สอนวิชาให้กับอาจารย์ทรัพย์แล้วท่านก็บอกว่าให้จดเอากับอาจารย์ทรัพย์นะเพราะอาจารย์ทรัพย์ได้เรียนกับหลวงพ่อแล้วก็เสมือนว่าได้เรียนกับท่านแล้ว วิชาที่ท่านสอนก็มีเมตตาและคงกระพันชาตรี อีกมาก และท่านก็ยังใฝ่การศึกษาค้นหาความรู้เพิ่มเติมท่านก็ได้เสาะแสวงหาอาจารย์ที่เก่ง ๆ ท่านมักจะฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาเล่าเรียน � ท่านก็ยังได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์เลี้ยง วัดจอมเกตุอยุธยา ได้เรียนวิชาสักจิ้งจก และอื่น ๆ หลังจากนั้นได้ย้ายกลับไปอยู่ที่ที่ อ.เทิง และท่านก็ยังได้กลับไปเรียนกับหลวงตาทองคำอีกเพราะว่าหลวงตาทองคำว่าถ้าเรียนจบทางโลกแล้วท่านจะสอนวิชาอื่น ๆ ให้อีกและท่านก็ได้สอนวิชาทำผงพรายกุมารให้ และบอกว่าไม่ควรสะกดเข้ามาแต่นำมาแล้วท่านให้สวดมนต์ให้และแผ่เมตตาให้และบอกกับผงที่เอามาทำว่าจะเอามาเพื่ออะไร และบังสกุลให้เข้าก่อนทุกเมื่อที่จะนำไปทำอะไร และได้สอนวิชาสาริกาให้อีก แล้วท่านก็ยังได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับพระที่ธุดงมาท่านก็ได้สอนวิชาหนุมานเสือโคร่งและอื่นๆ ให้ ท่านก็ได้ไปฝากตัวกับหลวงพ่อพระครูสัทธาภิรักษ์ (ครูบาบุญมี เขมปญฺโญ).......ท่านยังได้สอนวิชาทำตระกรุดก๋าสท้อน และตระกรุดแปดหมื่นสี่พันขันธ์ และอื่น ๆ อีก และท่านก็ยังใฝ่การศึกษายังได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับฆารวาสทางเหนืออีกและท่านก็ได้ออกวัตถุมงคล เป็นตระกรุดมหาฟ้าฟีก และตระกรุดมหาจักรพรรดิ์ และนเรศวรปราบหงส์ษา และอื่นๆ อีกและยังได้ทำกุมารรวยล้าน และกุมารทองคะนองฤทธิ์ และกุมาริตา และนางพรายนางกวักมหาลาภและสีผึ้งนางครวญ หลังจากนั้นท่านก็ยังได้ออกวัตถุมงคลเป็นขุนแผนที่ท่านได้ร่ำเรียนมา และอื่นไม้กาหลงแกะ หลังจากนั้นท่านก็ได้มาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเสงี่ยม วัดสุวรรณเจดีย์ อำเภอมหาราช อยุธยา ท่านได้สอนวิชาสัปไม้ ท่านได้เรียนจากหลวงพ่อลาภและหลวงพ่อรอด ในการรักษาคนกระดูกแตกหักให้ และอื่น ให้หายได้จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อจากนั้นท่านก็ยังได้ไปฝากตัวกับพระอาจารย์สิริชัย วัดโบสถ์ ลพบุรี ท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเรียนกับลูกศิษย์หลวงปู่สุขอีกที และท่านก็ยังได้เรียนสายใต้ และยังเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพระอาจารย์สุพจน์ นครสวรรค์ที่เก่งด้านคงกระพันชาตรี และท่านก็ได้สอนให้พร้อมสหายธรรม ๔ คน เป็นพระ ๒ เป็นฆารวาส ๒ ท่านก็ได้สอน นะฤาชาให้ และพุทม้วนโลก และวิชาทำตระกรุดคาดเอวของหลวงพ่อเฮน แห่งวัดดอนทอง สระบุรี เป็นตระกรุดพุชฌงค์เบญจฤทธิ์ และท่านก็ยังให้สอนวิชาเสือนอนกินและอื่น ๆอีก และท่านก็ยังได้แสวงหาอาจารย์ที่เก่งๆ เพื่อศึกษาต่อกับอาจารย์อีกมากมายเพื่อหาสิ่งที่ท่านยังไม่รู้เพื่อให้รู้ หลังจากได้เรียนแล้วท่านก็ได้ออกวัตถุมงคลอีกเป็นขุนแผนจอมเจ้าชู้ และกุมารดูดทรัพย์ และกุมารกิมเฮง และอื่นๆ อีกและท่านก็ยังใฝ่การศึกษาท่านก็ได้ไปฝากตัวเรียนกับฆารวาสสายพ่อชุม และพ่อเที่ยง นวมมานา คืออาจารย์มณี สายทองดี (อาจารย์แก้ว) ท่านได้สอนวิชาการสักและวิชาอื่นให้อีก และต่อจากนั้นท่านก็ยังได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมอีกเพราะท่านเป็นผู้ใฝ่การศึกษาจึงได้เสาะแสวงหาอาจารย์ที่เก่ง ๆ ขอฝากตัวเป็นศิษย์อีก และท่านก็ยังได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นอีก เช่น กุมาร และพรายคู่มหาเสน่ห์ อิ่นรันจวญ แม่ตะเคียนทอง และพ่องั่ง และอื่นๆ 6.) กุมารทอง วัดไผ่เงิน วัดไผ่เงินโชตนาราม แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 2335 เดิมชื่อว่า "วัดไผ่ล้อม" ต่อมาราชการได้เวนคืนที่ดินตำบลคลอง เตย ซึ่ง "วัดเงิน" ตั้งอยู่เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้วัดเงินจึงได้รื้อเสนาสนะมาสร้างรวมกับวัดไผ่ล้อม แล้วเปลี่ยนนามเป็น "วัดไผ่เงิน" เมื่อปีพ.ศ.2482 ต่อมาทางวัดได้อัญเชิญ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" ซึ่งเป็นพระประธานจากวัดโชติกา ราม (วัดพระยาไกร) ที่ได้กลายเป็นวัดร้าง พร้อมกับย้ายเสนาสนะมาร่วมสร้างที่ "วัดไผ่เงิน" จึงเท่ากับเป็นการรวมทั้ง 3 วัดเข้าไว้ด้วยกัน และเปลี่ยนนามวัดเป็น "วัดไผ่เงินโชตนาราม" เมื่อปี 2483 ภายในพระวิหารมีหลวงพ่อสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนปลายต่อสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื้อสัมฤทธิ์หน้าตักกว้าง 104 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ในสมัยกรุงธนบุรี เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไป ล่าสุด "วัดไผ่เงินโชตนาราม" ได้จัดสร้างวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลัง ซึ่งกำลังเป็นที่โด่งดังด้านเมตตา โชคลาภ ค้าขาย ในรูปแบบ "กุมารทองสายเทพ" โดยตั้งชื่อว่า "กุมารทองเทพอุดมโชค" พูดถึง "กุมารทอง" ในขณะนี้นับว่ามาแรงมากในหมู่นักสะ สม ประสบการณ์ด้านพลานุภาพด้านเมตตาโชคลาภ ค้าขาย ว่ากันว่าเคล็ดตำราการสร้างและปลุกเสกกุมารทองนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ส่วนกุมารทองเทพที่วัดไผ่เงินโชตนารามได้จัดสร้างขึ้นนี้ เป็น "กุมารทองสายเทพ" ไม่ใช่ "กุมารทองผี" โดยขนานนามอันเป็นอุดมมงคลว่า "เทพอุดมโชค" คำว่า "อุดมโชค" หมายถึงความเป็นผู้อุดมสมบูรณ์ในด้านต่างๆ อาทิ ด้านโชคลาภ-เงินทอง-ความสำเร็จในสิ่งต่างๆ สมบูรณ์พูนผลในสิ่งที่ปรารถนา เป็นต้น กุมารทองเทพอุดมโชค (นั่งถือถุงเงิน ถุงทอง รับทรัพย์) ได้จัดสร้างขึ้นประกอบไปด้วย 1.เนื้อสัมฤทธิ์โชคหล่อโบราณใต้ฐานฝังตะกรุดนะมหานิยม สร้างจำนวน 10,000 ตน บูชาตนละ 199 บาท 2.เนื้อผงพุทธคุณ ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 3,000 ตน บูชาตนละ 99 บาท 3.เนื้อผงว่าน 108 ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 3,000 ตน บูชาตนละ 99 บาท 4.เนื้อผงธูปบูชาพระ ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 3,000 ตน บูชาตนละ 99 บาท 5.เนื้อก้นครก ใต้ฐานฝังตะกรุด สร้างจำนวน 1,000 ตน บูชาตนละ 150 บาท ในตำราการสร้างกุมารทองนั้น พระโบราณาจารย์ท่านกล่าวว่า "ผู้ปลุกเสกกุมารทองได้ขลังนั้นต้องมีอำนาจสมาธิพลังจิตที่แก่กล้า และต้องประ กอบไปด้วยพระ เวทมนตราคมที่แก่กล้า และเชี่ยวชาญตำราการสร้าง-ปลุกเสกกุมารทองอย่างแท้จริง ถึงจะปลุกเสกได้ขลังนัก หากมีแต่วิชาอาคม ไม่เป็นกรรมฐาน ขาดสมาธิพลังจิตก็ปลุกเสกยากที่จะขลัง และก็ไม่ขลังเป็นอมตะ เพราะฉะนั้นจะขาดซึ่งสมาธิพลังจิตไปไม่ได้ ทั้ง 2 อย่างนี้ต้องไปด้วยกัน วัตถุมงคลนั้นก็จะมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นอมตะตลอดกาล" ประการแรกของผู้ที่จะปลุกเสกวัตถุมงคลนั้น ต้องมีกรรมฐานแน่นเสียก่อน ถึงจะเสก ขลังกรรมฐานไม่แน่น หรือกรรมฐานแตก มีจิตฟุ้งซ่านเสกนานยังไงก็ยากที่จะขลัง ในการนี้วัดไผ่เงินโชตนารามจึงได้ขอความเมตตาอนุเคราะห์จาก "หลวงพ่อรักษ์ อนาลโย" เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาสวิปัสสนา ต.ลาดบัว หลวง อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิอาจารย์ชื่อดังสายอยุธยา เจ้าแห่งตะกรุด 30 ทัศ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ผู้พลิกฟื้นตำรับวิชากุมารทองสายเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ สนใจร่วมบุญบูชากุมารทองเทพอุดมโชค ติดต่อได้ที่วัดไผ่เงินโชตนาราม โทร. 08-9694-2877, พระปลัดบุญเจิด สุจิตโต โทร. 08-9679-9236 หรือบูชาทางไปรษณีย์สั่งจ่ายในนาม พระครูวินัยธรสมชาย วัดไผ่เงินโชตนาราม แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ 10120 (เพิ่มค่าจัดส่งครั้งละ 50 บาท) รายได้เพื่อสมทบทุนการศึกษาพระปริยัติธรรม และทุนอาหารกลางวันพระภิกษุ-สามเณร วัดไผ่เงินโชตนาราม 7.) กุมารทอง วัดบางน้ำชน (กุมารทองมั่งคั่ง) ขอเชิญร่วมบูชา กุมารมั่งคั่ง ของท่านพระอาจารย์ศุภสิทธิ์ วัดบางน้ำชน ถนนเจริญนคร แขวงบุคคโล กรุงเทพฯ� ปัจจัยจากการบูชาท่านพระ อาจารย์นำไปสร้างอุโบสถ วัดพระธาตุจอมหงษ์ จังหวัดเชียงราย� ซึ่งขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างไปประมาณ 20 % ท่านพระอาจารย์ศุภสิทธิ์ ได้เดินทางไปเป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา ร่วมบุญกุศลพร้อมได้รับกุมารมั่งคั่ง พิธีดี ปลุกเสกดี วัตถุ ประสงค์ดี สามารถติดต่อบูชาได้ที่� ท่านพระอาจารย์ศุภสิทธิ์ วัดบางน้ำชน ที่โทร 080-677-4008 ติดต่อร่วมบูชาและทำบุญได้โดยตรงครับ ประวัติพระอาจารย์พระศุภสิทธิ์ วัดบางน้ำชน แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ชีวประวัติของท่านมีนาม ศุภสิทธิ์ ริจนา เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2525 บ้านเลขที่ 272/2 ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย โยมบิดา นายแดง – โยมมารดา นางจริง ช่วงปฐมวัยท่านเป็นคนสนใจเรื่องวิชาอาคมมากมักจะไปคุยกับหลวงพ่อที่บ้านเกิดท่านเมื่อมีเวลา จนท่านเรียนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านสบสม อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมื่อจบการศึกษาก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีดอนชัย ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย โดยมี พระครูโสภณจริยกิจ เป็นอุปัชฌาย์ ณ.วัดศรีดอนชัย ท่านก็ได้ร่ำเรียนวิชาทางโลกและทางธรรมจนจบและยังได้เรียนวิชาอาคมกับพระอุปัชฌาย์ของท่านเพียงเล็กๆ น้อยเพื่อศึกษาไว้ และท่านก็ยังได้รับการสอนจากวัยยาวัชกรวัดสอนวิชาอ๋อปัญญา(ปัญญาดี) ให้อีก การศึกษามัธยมชั้นปีที่ 3 ท่านก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ อ.เทิง ณ วัดอำมาตย์ ท่านก็ได้ร่ำเรียนต่อชั้นปีที่ 4-6 ต่อจนจบและท่านก็ยังได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงตาทองคำ ท่านเป็นพระที่ธุดงมาจากสิบสองปันนา ท่านก็ได้สอนวิชาเสน่ห์ เช่นขุนแผน และวิชาอิ่น ต่าง ๆ และวิชาอื่น ๆ อีกมากมายให้ และวิชาคงกระพันให้ด้วย ท่านบอกว่าวิชานั้นท่านได้สืบทอดกันมาตามสายโลหิตท่าน แต่ท่านรักเสมือนลูกท่านก็เลยสอนให้ และกำชับว่าอย่าสอนใครถ้าไม่ใช่สายโลหิตของตนเองก็เลยที่มาของขุนแผนจอมเจ้าชู้ และอิ่นคู่พรายเสน่ห์หา แล้วท่านก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มาจำพรรษา ณ วัดนางชี เขตภาษีเจริญ ท่านก็ได้มาเรียนทางโลกไปด้วยท่านได้เรียนปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาลัยสงฆ์ ระหว่างที่เรียนท่านก็ได้พบกับโยมที่มาทำงานเป็นช่างก็สนิทสนมกัน โยมก็ได้สอนวิชาอาคมที่โยมได้เรียนมาเป็นวิชา พ่องั่ง แม่มานี ท่านบอกว่าพ่องั่งแม่มานีเป็นวิชาที่ท่านเรียนกับตาทวดของช่างเพราะตาของโยมคนนี้ท่านเป็นคนมีวิชาอาคมในหมู่บ้านนั้นโยมช่างคนนี้ก็ได้สืบทอดมาจากตาของท่าน พอท่านอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2544 ที่วัดนางชี ต.ปากคลอง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยมี พระราชปัญญาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาวิเชียร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสมจิตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้วท่านก็ได้ศึกษาทางโลกต่อได้ประมาณ 3 ปีท่านก็ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดบางน้ำชน แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพฯ พอท่านเรียนทางโลกจบ ท่านก็ได้เจอกับพระที่มาบวชใหม่ก็ได้ชวนไปเที่ยวที่บ้านอาจารย์ของท่าน ก็ได้ไปด้วยและได้เจอกับฆารวาสท่านหนึ่งที่ได้มีวิชาอาคม ท่านก็ได้คุยกับอาจารย์ไปมาอาจารย์ท่านก็บอกว่าถ้าท่านอยากเรียนก็ให้เข้ามาหาใหม่เพื่อดูว่าท่านจะมีสติปัญญา ในการสนใจที่รักในวิชาอาคมนี้หรือไม่ หลังจากอาจารย์ท่านเห็นว่าท่านมีความตั้งใจอาจารย์ก็จะสอนให้ หลังจากนั้นก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ทรัพย์ พรหมโณ ท่านก็ได้สอนวิชาสีผึ้ง กุมารทอง และวิชาอื่นๆ ให้อีกมากมาย � � หลังจากนั้นท่านก็อาจารย์ทรัพย์ก็ได้พากับฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อนพวรรณ วัดเสนานิมิต และท่านก็ได้สอนคติคำคมว่า อาจารย์เราจะเป็นยาจกหรือขอทาน ถ้าท่านเหล่านั้นมีวิชาดี มีของดี แล้วท่านก็จะขอฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านบอกว่าเราควรคัดแยกสิ่งที่ดีและไม่ดีของตัวอาจารย์ เราควรนำสิ่งดีๆ มาไม่ใช่ว่าเห็นเค้าเป็นขอทานก็อายว่าเค้าเป็นขอทานไม่อยากเป็นศิษย์ ท่านก็ได้สอนวิชาให้กับอาจารย์ทรัพย์แล้วท่านก็บอกว่าให้จดเอากับอาจารย์ทรัพย์นะเพราะอาจารย์ทรัพย์ได้เรียนกับหลวงพ่อแล้วก็เสมือนว่าได้เรียนกับท่านแล้ว วิชาที่ท่านสอนก็มีเมตตาและคงกระพันชาตรี อีกมาก และท่านก็ยังใฝ่การศึกษาค้นหาความรู้เพิ่มเติมท่านก็ได้เสาะแสวงหาอาจารย์ที่เก่ง ๆ ท่านมักจะฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาเล่าเรียน � ท่านก็ยังได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์เลี้ยง วัดจอมเกตุอยุธยา ได้เรียนวิชาสักจิ้งจก และอื่น ๆ หลังจากนั้นได้ย้ายกลับไปอยู่ที่ที่ อ.เทิง และท่านก็ยังได้กลับไปเรียนกับหลวงตาทองคำอีกเพราะว่าหลวงตาทองคำว่าถ้าเรียนจบทางโลกแล้วท่านจะสอนวิชาอื่น ๆ ให้อีกและท่านก็ได้สอนวิชาทำผงพรายกุมารให้ และบอกว่าไม่ควรสะกดเข้ามาแต่นำมาแล้วท่านให้สวดมนต์ให้และแผ่เมตตาให้และบอกกับผงที่เอามาทำว่าจะเอามาเพื่ออะไร และบังสกุลให้เข้าก่อนทุกเมื่อที่จะนำไปทำอะไร และได้สอนวิชาสาริกาให้อีก แล้วท่านก็ยังได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับพระที่ธุดงมาท่านก็ได้สอนวิชาหนุมานเสือโคร่งและอื่นๆ ให้ ท่านก็ได้ไปฝากตัวกับหลวงพ่อพระครูสัทธาภิรักษ์ (ครูบาบุญมี เขมปญฺโญ).......ท่านยังได้สอนวิชาทำตระกรุดก๋าสท้อน และตระกรุดแปดหมื่นสี่พันขันธ์ และอื่น ๆ อีก และท่านก็ยังใฝ่การศึกษายังได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับฆารวาสทางเหนืออีกและท่านก็ได้ออกวัตถุมงคล เป็นตระกรุดมหาฟ้าฟีก และตระกรุดมหาจักรพรรดิ์ และนเรศวรปราบหงส์ษา และอื่นๆ อีกและยังได้ทำกุมารรวยล้าน และกุมารทองคะนองฤทธิ์ และกุมาริตา และนางพรายนางกวักมหาลาภและสีผึ้งนางครวญ หลังจากนั้นท่านก็ยังได้ออกวัตถุมงคลเป็นขุนแผนที่ท่านได้ร่ำเรียนมา และอื่นไม้กาหลงแกะ หลังจากนั้นท่านก็ได้มาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเสงี่ยม วัดสุวรรณเจดีย์ อำเภอมหาราช อยุธยา ท่านได้สอนวิชาสัปไม้ ท่านได้เรียนจากหลวงพ่อลาภและหลวงพ่อรอด ในการรักษาคนกระดูกแตกหักให้ และอื่น ให้หายได้จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อจากนั้นท่านก็ยังได้ไปฝากตัวกับพระอาจารย์สิริชัย วัดโบสถ์ ลพบุรี ท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเรียนกับลูกศิษย์หลวงปู่สุขอีกที และท่านก็ยังได้เรียนสายใต้ และยังเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพระอาจารย์สุพจน์ นครสวรรค์ที่เก่งด้านคงกระพันชาตรี และท่านก็ได้สอนให้พร้อมสหายธรรม ๔ คน เป็นพระ ๒ เป็นฆารวาส ๒ ท่านก็ได้สอน นะฤาชาให้ และพุทม้วนโลก และวิชาทำตระกรุดคาดเอวของหลวงพ่อเฮน แห่งวัดดอนทอง สระบุรี เป็นตระกรุดพุชฌงค์เบญจฤทธิ์ และท่านก็ยังให้สอนวิชาเสือนอนกินและอื่น ๆอีก และท่านก็ยังได้แสวงหาอาจารย์ที่เก่งๆ เพื่อศึกษาต่อกับอาจารย์อีกมากมายเพื่อหาสิ่งที่ท่านยังไม่รู้เพื่อให้รู้ หลังจากได้เรียนแล้วท่านก็ได้ออกวัตถุมงคลอีกเป็นขุนแผนจอมเจ้าชู้ และกุมารดูดทรัพย์ และกุมารกิมเฮง และอื่นๆ อีกและท่านก็ยังใฝ่การศึกษาท่านก็ได้ไปฝากตัวเรียนกับฆารวาสสายพ่อชุม และพ่อเที่ยง นวมมานา คืออาจารย์มณี สายทองดี (อาจารย์แก้ว) ท่านได้สอนวิชาการสักและวิชาอื่นให้อีก และต่อจากนั้นท่านก็ยังได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมอีกเพราะท่านเป็นผู้ใฝ่การศึกษาจึงได้เสาะแสวงหาอาจารย์ที่เก่ง ๆ ขอฝากตัวเป็นศิษย์อีก และท่านก็ยังได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นอีก เช่น กุมาร และพรายคู่มหาเสน่ห์ อิ่นรันจวญ แม่ตะเคียนทอง และพ่องั่ง และอื่นๆ
กุมารทอง 1.47.164.17	ความคิดเห็นที่ 2 10/08/2011 , 12:58 Quote 9.) กุมารทอง หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง สงขลา ท่านเกิดเมื่อ วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2454 ที่ ต.ท่ามะเดื่อ อ.เขาไชยสน จ.พัทลุง อุปสมบทตอนอายุ 22 ปี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2476 ณ วัดควนฝาละมี ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง และได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2541 สิริอายุ 87ปี 65 พรรษา สมณศักดิ์สุดท้ายที่ท่านได้รับคือ พระครูภัทรธรรมรัต (หลวงพ่อพลัด)>> การศึกษา จบชั้นประถมศึกษาปีที่4 จากนั้นได้เข้าศึกษาทางธรรมจนจบ นักธรรมตรี แล้วจึงได้ไปเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาโหราพยากรณ์และพระเวทย์วิทยาคมต่างๆที่สำนักวัดเขาอ้อ ต.มะกอกเหนือ จ.พัทลุง จากนั้นจึง อยู่ที่วัดดอนประดู่ จ.พัทลุง และได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.สงขลา จากนั้นจึงได้มาจำพรรษาและสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่ ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในเวลาต่อมา ท่านเป็นพระที่สมถะ อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับอะไร เป็นคนดุดันเหมือนคนสมัยก่อน แต่มีเมตตามาก หากมีคนมาขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์อะไรท่านก็จะช่วยทันที นอกจากนั้นท่านยังได้เอาวิชาความรู้เรื่องการแพทย์แผนไทยมาจัดสอนเผยแผ่แก่ชาวบ้านเพื่อนำมาประกอบเป็นอาชีพได้อีกด้วย จนบัดนี้ก็ยังมีชาวต่างชาติมานวดแผนไทยที่วัดนี้อยู่มิได้ขาด หลักธรรมที่ท่านมักจะสอนผู้คนอยู่เป็นประจำคือ ให้รู้จักขยันและประหยัดอดออม >> ประวัติการสร้างวัตถุมงคล วัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นมีหลายชนิด เช่น ตะกรุด เหรียญ ผ้ายันต์ พระเนื้อผงว่านต่างๆ เป็นต้น แต่ที่ที่นิยมกันมาก คือ เหรียญรุ่นแรกที่สร้างในปี 2519 เป็นเหรียญที่ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ สร้างมาถวายให้ท่านปลุกเสก ซึ่งมีประสบการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกแล้วไม่ตาย ที่ประเทศสิงคโปร์ หลังจากนั้นท่านผู้ประสบกับเหตุการณ์ท่านนั้นจึงได้มาขออุปสมบทที่วัดโคกสูงในเวลาต่อมา >> วัตถุมงคลที่ท่านได้จัดสร้างแต่ละชนิดนั้นล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจิตตานุภาพและพุทธาคมอันบริสุทธิ์ซึ่งท่านได้ถ่ายทอดลงสู่วัตถุนั้นๆ จึงได้เกิดประสบการณ์มากมายตามมา ไม่ว่าจะ อยู่ยงคงกระพัน เมตตา หรือแคล้วคลาดก็พบเห็นกันอยู่บ่อย จนท่านเป็นที่เคารพนับถือของคนสงขลา และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้ง ชาวมาเลย์เซีย สิงคโปร์เพื่อนบ้านของเราอีกด้วย สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อนั้นยังมีอีกมากมาย เช่น มีอยู่ครั้งนึงที่พวกโจรเข้ามาขโมยทรัพย์สินภายในวัดตอนกลางวัน แต่ก็เอาทรัพย์สินเหล่านั้นออกนอกวัดไปไม่ได้ ต้องเอากลับมาคืน เพราะตัวเขาเองเขาบอกว่ามีตำรวจล้อมอยู่รอบวัดเลยจะออกไปได้อย่างไร สันนิษฐานว่าเป็นเพราะอาคมที่ท่านได้ลงเอาไว้รอบวัดนั่นเอง นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ที่สามารถทำนายทายทักได้แม่นยำราวกับตาเห็น เชื่อว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้ บรรลุปุพเพนิวาสนุสติญาณ และเจโตปริยญาณ สามารถล่วงรู้จิตใจคนและวิบากกรรมได้ ผู้เขียนได้ทราบจากชาวบ้านว่ามีอยู่ครั้งนึงที่ลูกศิษย์ของท่านนำเอาพระเครื่องจากที่อื่นมาให้ท่านอธิษฐานจิต ท่านก็สามารถบอกได้ว่าพระที่อยู่ในกล่องนั้นเป็นพระอะไรบ้าง โดยที่ยังไม่ได้แกะกล่องนั้นออกมาดู นอกจากนี้เชื่อว่าท่านบรรลุอากาศกสิณทำให้ล่องหนหายตัวได้ ดังเช่นมีอยู่ครั้งนึงที่ท่านได้เดินทางไปประเทศมาเลย์เซีย แต่มีคนที่มาทำบุญที่วัดเห็นท่านกำลังอาบน้ำอยู่ ซึ่งห้องน้ำสมัยนั้นเป็นห้องน้ำสังกะสี จะเห็นส่วนบนชัดเจน แล้วได้มายืนยันกับพระลูกวัดซึ่งพระลูกวัดก็ยืนยันเช่นกันว่าท่านไปมาเลย์เซียจะเป็นท่านไปได้อย่างไรจึงเกิดความฉงนแก่โยมผู้นั้นยิ่งนัก>> หลังจากที่ท่านได้มรณภาพ สรีระของท่านก็มิได้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด ทางวัดจึงได้จัดสังขารท่านเอาไว้ในใส่โลงแก้วเพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาต่อไปและยังได้เป็นการรำลึกถึงคุณประโยชน์คุณความดีที่ท่านได้ช่วยเหลือสงเคราะห์สั่งสอนบรรดาศิษย์และผู้คนที่มาพบท่านตลอดมา >> ขอขอบคุณข้อมูลต่างๆที่ท่าน เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันและท่านอื่นๆที่ กรุณาเล่าเรื่องและมอบข้อมูลให้แก่ผู้เขียนในครั้งนี้ หากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจวัตถุมงคลของหลวงพ่อภัทรที่ยังมีเหลืออยู่จำนวนไม่มาก สามารถติดต่อได้ที่ พระมหาวิเชียร วิโรจโน เจ้าอาวาสวัดโคกสูง ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110 โทร 074-334194 เพื่อนำรายได้มาเป็นทุนทรัพย์ในการปฏิสังขรณ์วัดต่อไป 9.) กุมารทอง หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง สงขลา ท่านเกิดเมื่อ วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2454 ที่ ต.ท่ามะเดื่อ อ.เขาไชยสน จ.พัทลุง อุปสมบทตอนอายุ 22 ปี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2476 ณ วัดควนฝาละมี ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง และได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2541 สิริอายุ 87ปี 65 พรรษา สมณศักดิ์สุดท้ายที่ท่านได้รับคือ พระครูภัทรธรรมรัต (หลวงพ่อพลัด)>> การศึกษา จบชั้นประถมศึกษาปีที่4 จากนั้นได้เข้าศึกษาทางธรรมจนจบ นักธรรมตรี แล้วจึงได้ไปเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาโหราพยากรณ์และพระเวทย์วิทยาคมต่างๆที่สำนักวัดเขาอ้อ ต.มะกอกเหนือ จ.พัทลุง จากนั้นจึง อยู่ที่วัดดอนประดู่ จ.พัทลุง และได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.สงขลา จากนั้นจึงได้มาจำพรรษาและสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่ ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในเวลาต่อมา ท่านเป็นพระที่สมถะ อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับอะไร เป็นคนดุดันเหมือนคนสมัยก่อน แต่มีเมตตามาก หากมีคนมาขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์อะไรท่านก็จะช่วยทันที นอกจากนั้นท่านยังได้เอาวิชาความรู้เรื่องการแพทย์แผนไทยมาจัดสอนเผยแผ่แก่ชาวบ้านเพื่อนำมาประกอบเป็นอาชีพได้อีกด้วย จนบัดนี้ก็ยังมีชาวต่างชาติมานวดแผนไทยที่วัดนี้อยู่มิได้ขาด หลักธรรมที่ท่านมักจะสอนผู้คนอยู่เป็นประจำคือ ให้รู้จักขยันและประหยัดอดออม >> ประวัติการสร้างวัตถุมงคล วัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นมีหลายชนิด เช่น ตะกรุด เหรียญ ผ้ายันต์ พระเนื้อผงว่านต่างๆ เป็นต้น แต่ที่ที่นิยมกันมาก คือ เหรียญรุ่นแรกที่สร้างในปี 2519 เป็นเหรียญที่ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ สร้างมาถวายให้ท่านปลุกเสก ซึ่งมีประสบการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกแล้วไม่ตาย ที่ประเทศสิงคโปร์ หลังจากนั้นท่านผู้ประสบกับเหตุการณ์ท่านนั้นจึงได้มาขออุปสมบทที่วัดโคกสูงในเวลาต่อมา >> วัตถุมงคลที่ท่านได้จัดสร้างแต่ละชนิดนั้นล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจิตตานุภาพและพุทธาคมอันบริสุทธิ์ซึ่งท่านได้ถ่ายทอดลงสู่วัตถุนั้นๆ จึงได้เกิดประสบการณ์มากมายตามมา ไม่ว่าจะ อยู่ยงคงกระพัน เมตตา หรือแคล้วคลาดก็พบเห็นกันอยู่บ่อย จนท่านเป็นที่เคารพนับถือของคนสงขลา และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้ง ชาวมาเลย์เซีย สิงคโปร์เพื่อนบ้านของเราอีกด้วย สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อนั้นยังมีอีกมากมาย เช่น มีอยู่ครั้งนึงที่พวกโจรเข้ามาขโมยทรัพย์สินภายในวัดตอนกลางวัน แต่ก็เอาทรัพย์สินเหล่านั้นออกนอกวัดไปไม่ได้ ต้องเอากลับมาคืน เพราะตัวเขาเองเขาบอกว่ามีตำรวจล้อมอยู่รอบวัดเลยจะออกไปได้อย่างไร สันนิษฐานว่าเป็นเพราะอาคมที่ท่านได้ลงเอาไว้รอบวัดนั่นเอง นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ที่สามารถทำนายทายทักได้แม่นยำราวกับตาเห็น เชื่อว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้ บรรลุปุพเพนิวาสนุสติญาณ และเจโตปริยญาณ สามารถล่วงรู้จิตใจคนและวิบากกรรมได้ ผู้เขียนได้ทราบจากชาวบ้านว่ามีอยู่ครั้งนึงที่ลูกศิษย์ของท่านนำเอาพระเครื่องจากที่อื่นมาให้ท่านอธิษฐานจิต ท่านก็สามารถบอกได้ว่าพระที่อยู่ในกล่องนั้นเป็นพระอะไรบ้าง โดยที่ยังไม่ได้แกะกล่องนั้นออกมาดู นอกจากนี้เชื่อว่าท่านบรรลุอากาศกสิณทำให้ล่องหนหายตัวได้ ดังเช่นมีอยู่ครั้งนึงที่ท่านได้เดินทางไปประเทศมาเลย์เซีย แต่มีคนที่มาทำบุญที่วัดเห็นท่านกำลังอาบน้ำอยู่ ซึ่งห้องน้ำสมัยนั้นเป็นห้องน้ำสังกะสี จะเห็นส่วนบนชัดเจน แล้วได้มายืนยันกับพระลูกวัดซึ่งพระลูกวัดก็ยืนยันเช่นกันว่าท่านไปมาเลย์เซียจะเป็นท่านไปได้อย่างไรจึงเกิดความฉงนแก่โยมผู้นั้นยิ่งนัก>> หลังจากที่ท่านได้มรณภาพ สรีระของท่านก็มิได้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด ทางวัดจึงได้จัดสังขารท่านเอาไว้ในใส่โลงแก้วเพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาต่อไปและยังได้เป็นการรำลึกถึงคุณประโยชน์คุณความดีที่ท่านได้ช่วยเหลือสงเคราะห์สั่งสอนบรรดาศิษย์และผู้คนที่มาพบท่านตลอดมา >> ขอขอบคุณข้อมูลต่างๆที่ท่าน เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันและท่านอื่นๆที่ กรุณาเล่าเรื่องและมอบข้อมูลให้แก่ผู้เขียนในครั้งนี้ หากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจวัตถุมงคลของหลวงพ่อภัทรที่ยังมีเหลืออยู่จำนวนไม่มาก สามารถติดต่อได้ที่ พระมหาวิเชียร วิโรจโน เจ้าอาวาสวัดโคกสูง ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110 โทร 074-334194 เพื่อนำรายได้มาเป็นทุนทรัพย์ในการปฏิสังขรณ์วัดต่อไป
กุมารทอง 202.91.19.169	ความคิดเห็นที่ 3 10/08/2011 , 14:55 Quote 11.) กุมารทอง อ.วีระเทพ ญาณประสิทธิ์ เว็บไซต์สำนัก อ.วีรเทพ ญาณครูประสิทธิ์ ( www.veeratentep.com ) สำนัก อ.วีระเทพ ญาณประสิทธิ์ หมู่บ้าน ก.ร.ป.กลาง ถ.เลียบคูนายกิม แขวงสีกัน ดอนเมือง กรุงเทพฯ 10211 โทรศัพท์. 082-4579443 12.) กุมารทอง พระอาจารย์ทิว อริยวังโส พระอาจารย์ทิว อริยวังโส อยู่วัดป่าวิเวกธรรม� ตรงข้ามเรือนจำ-หลังเทคนิค ถ.ศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 เบอร์โทรพระอาจารย์ 087-7751924 11.) กุมารทอง อ.วีระเทพ ญาณประสิทธิ์ เว็บไซต์สำนัก อ.วีรเทพ ญาณครูประสิทธิ์ ( www.veeratentep.com ) สำนัก อ.วีระเทพ ญาณประสิทธิ์ หมู่บ้าน ก.ร.ป.กลาง ถ.เลียบคูนายกิม แขวงสีกัน ดอนเมือง กรุงเทพฯ 10211 โทรศัพท์. 082-4579443 12.) กุมารทอง พระอาจารย์ทิว อริยวังโส พระอาจารย์ทิว อริยวังโส อยู่วัดป่าวิเวกธรรม� ตรงข้ามเรือนจำ-หลังเทคนิค ถ.ศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 เบอร์โทรพระอาจารย์ 087-7751924
กุมารทอง 202.91.19.169	ความคิดเห็นที่ 4 10/08/2011 , 15:18 Quote 13.) กุมารทองกะบาลสะปรือ หลวงตาอิน วัดหนองเม็ก หลวงปู่อิน เขมเทโว วัดหนองเม็ก จ.สุรินทร์ หลวงปู่อิน� เขมเทโว� อายุ 84 ปี เถระปรมาจารย์แห่งมหาเสน่ห์ สายเขมรตัวจริง เจ้าตำรับวิชา “เปรี๊ยนเนียรี” วิชาลงน้ำมันพรายล่องหน มนต์มหาเสน่ห์เพชรพญาธร ขึ้นชื่อว่า “ศาสตร์วิชามหาเสน่ห์” นั้นยังมีหลายท่านที่ยังไม่ค่อยเชื่อว่าจะมีจริงหรือ..!!! บางท่านก็ยัง..ห้าสิบ..ห้าสิบ..เพราะยังไม่ได้สัมผัสชนิดที่ว่าของจริง...ของแท้..แท้.. แต่อีกหลายท่าน ซึ่งก็เป็นจำนวนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่า “ศาสตร์วิชามหาเสน่ห์” นั้นมีจริง และเมื่อทำแล้ว..บูชาแล้วได้ผลจริง�เพราะท่านเหล่านั้นล้วนได้สัมผัสด้วยตนเองมาแล้ว และเกิดประสบการณ์และความสำเร็จเมื่อได้ทำพิธีเสริมในเรื่องมหาเสน่ห์และบูชาวัตถุมงคลเครื่องรางในด้านมหาเสน่ห์ด้วยตนเองมาแล้ว ความอยากที่จะใคร่รู้และอยากที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าวิชาในด้านมหาเสน่ห์นั้นมีจริงดังคำล่ำลือหรือไม่นั้น ทำให้หลวงปู่อินเมื่อสมัยหนุ่มๆนั้นท่านอยากที่จะเรียนรู้อยากที่จะศึกษาในวิชามหาเสน่ห์แบบให้รู้กันไปเลยว่ามีจริง แรงจริงแค่ไหน โดยหลวงปู่อินท่านบอกว่า “เมื่อสมัยก่อนนั้นอยากให้มีผู้หญิงมารัก มาหลงเราแต่บ้านเราจน เลยไม่มีสาวที่ไหนมาสนใจ ก็มีทางเดียวคือเรื่องการทำมหาเสน่ห์ แต่พอไปให้หมอเสน่ห์ในหมู่บ้านทำให้ก็ไม่เห็นผล จึงเริ่มจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี ก็เลยตัดสินใจเรียนรู้ด้วยตัวเองเลยดีกว่า ก็พอดีโยมพ่อโยมแม่ให้บวชก็บวช พอบวชได้พรรษากว่าๆความคิดในเรื่องที่อยากจะเรียนรู้ในวิชามหาเสน่ห์ก็กลับมาอีก ก็เลยขอโยมพ่อโยมแม่ไปเรียนที่บ้านกำปงจามในเขมร ซึ่งโยมพ่อเขามีญาติอยู่ที่นั่น ก็เลยได้ไปเรียนวิชาสายเขมรตำรับกำปงจามเป็นครั้งแรก เริ่มเรียนตั้งแต่คาถาธรรมดาไปจนถึงชนิดที่เรียกว่าสั่งคนให้มารักเราได้เลย และเรียนเรื่องการทำน้ำมันพราย และน้ำมันไพร การทำเสน่ห์ยาแฝด ซึ่งตอนนั้นอาตมายังเป็นพระหนุ่มอยู่เมื่อเรียนแล้วก็อยากลอง ก็เลยลองวิชากับสาวหมู่บ้านใกล้กันนั่นแหละ ก็ได้ผลเขามาหาเราที่วัดทุกวันเลย จนท่านพระอาจารย์ท่านรู้ก็เลยโดนดุและต้องทำถอนให้เขา� นั่นแหละยิ่งทำให้ได้รู้ว่าวิชาในเรื่องมหาเสน่ห์จริงๆนั้นมี ก็เลยตั้งอกตั้งใจเรียนวิชามหาเสน่ห์ทุกอย่างใน สายเขมรกำปงจามเลยทีนี้ ทั้งนำน้ำมัน หุงน้ำมันไพรมหาเสน่ห์เคี่ยวสีผึ้ง การทำหุ่นรักลงเสน่ห์ การนำผงเสน่ห์ยาแฝด และเชียนกระทั่งวิชาถอนของมหาเสน่ห์ไสย์ดำ เรียนอยู่ที่กำปงจามนี้ เจ็ด..แปดปี เรียกว่าได้ในวิชามหาเสน่ห์ทั้งหมดในสายเขมรกำปงจามเลยทีเดียว” หลวงปู่อินท่านเล่าต่ออีกว่า “หลังจากนั้นก็อยากที่จะเรียนอยากที่จะรู้ในเรื่องมหาเสน่ห์อีก ก็ไปเรียนกับอาจารย์ฆราวาสในวิชากระเหรี่ยงซึ่งก็เป็นวิชามหาเสน่ห์ โดยวิชาอย่างอื่นไม่สนใจเลยเอาแต่ด้านมหาเสน่ห์อย่างเดียวเลย และก็เดินธุดงค์ไป เรียนวิชาพญาหงส์ร่อนมอญแปลงในแถบพม่าอีกห้า..หกปีก็ได้วิชาในเรื่องมหาเสน่ห์มาอีกเยอะ” สำหรับวิชาในด้านมหาเสน่ห์ที่หลวงปู่อินท่านได้เรียน ได้ศึกษาอย่างช่ำชองเชี่ยวชาญนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาแบบหัวกระทิทั้งนั้นเลยก็ว่าได้และในยุคปัจจุบันจะหาผู้ที่รู้จริงในเรื่องของวิชามหาเสน่ห์แบบครบเครื่องอย่างหลวงปู่อินนั้นคงยากเต็มที หลวงปู่อิน เขมเทโว�นามเดิมท่านชื่อนายขาอิน ทองมาก� โยมบิดาชื่อนายอัน� บุญมาก� โยมมารดาชื่อจาลี� บุญมาก� เกิดที่บ้านหมากมี่ ต.ท่าตูม� อ.ท่าตูม� จ.สุรินทร์� โดยหลวงปู่ท่านเริ่มเรียนวิชาด้านมหาเสน่ห์กับโยมปู่ซึ่งเป็นหมอมหาเสน่ห์ชาวเมรที่อยู่จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเป็นหมอเสน่ห์ที่ขึ้นชื่อที่สุดในสมัยนั้นยุคนั้นเลยทีเดียว� ปัจจุปันหลวงปู่อินท่านเป็นยอดพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ได้ใช้ชีวิตสมณเพศอันบริสุทธิ์ จาริกแสวงหาความสงบไปตามป่า ตามเทือกเขา เพื่อปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกรรมฐานให้จิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เป็นสมาธิมั่นคง หลวงปู่อิน ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ที่ท่านพบขณะกำลังบำเพ็ญอยู่ในป่า และทั่งที่พบขณะเมื่อท่านจาริกไปในประเทศเขมร และพม่า โดยเฉพาะในเขมรนั้นหลวงปู่อินท่านบอกว่าท่านนั้นตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะเข้าไปศึกษาวิชาในด้านมหาเสน่ห์โดยเฉพาะ ทั้งนี้ก็เพราะวิชามหาเสน่ห์ ตำรับวิชาเขมรนั้น ถือว่าแรงที่สุด โดยเฉพาะวิชาในสาย “กัมปงชนัว” ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาที่มากด้วยพลังอานุภาพที่ช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก เสริมเมตตามหาเสน่ห์ให้แก่ผู้คนจนทำให้เป็นที่รักใคร่แก่บุคคลรอบข้าง วิชาแห่งเมตตามหาเสน่ห์ที่เป็นศาสตร์ลี้ลับมาแต่โบราณของเขมรในศาสตร์ของ “กัมปงชนัว”นี้ ผู้ที่รู้ในศาสตร์วิชานี้ในประเทศไทยนั้นหาไม่ได้เลย นอกจากหลวงปู่อินเพียงองค์เดียวเท่านั้น เพราะผู้ที่เรียนในสาย “กัมปงชนัว” นี้ได้จะต้องมีสายเลือดเขมรเท่านั้น� ซึ่งหลวงปู่อินท่านบอกว่า ท่านนั้นรู้ถึงอานุภาพของศาสตร์วิชาในสายกัมปงชนัวนี้มาเป็นเวลานานแล้ว จึงอยากที่จะศึกษาเป็นอย่างมาก� ซึ่งก็นับว่าดวงยังดีที่ท่านสามารถพูดและรู้ภาษาเขมรเป็นอย่างดี เพราะเป็นภาษาบ้านเกิดอยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะได้ศึกษาจนกระทั่งเดินธุดงค์มากราบฝากตัวเป็นศิษย์� พระอาจารย์ปาชังสะบือ เพื่อขอเรียนวิชามหาเสน่ห์กับท่านโดยตรง ซึ่งหลวงปู่ท่านบอกว่าการได้เรียนในสายวิชา “กัมปงชนัว” นี้จะเรียนมนต์มหาเสน่ห์ล้วนๆ ตลอดจนวิชาเสกไพรวิชาลงของมหาเสน่ห์ วิชาทำน้ำมันพรายจากไพร และที่สำคัญที่ต้องเป็นก็คือ การปฏิบัติสมาธิบัติเข้าสู่ธาตุน้ำใช้วิชากสิณน้ำ การปฏิบัติอย่างหนักเพื่ออย่างหนักเพื่อให้จิตมีสมาธิอันเข้มแข็งและมั่นคง ต้องพานพบกับความลำบากนานาประการแทบเอาชีวิตไม่รอด แม้กระทั่งบางครั้งที่หลวงปู่อินท่านต้องนอนนิ่งทั้งวันทั้งคืน เพื่อเอากำลังของจิตเข้าต่อสู้กับความเจ็บป่วยอย่างหนักของร่างกาย จนกระทั่งจิตของท่านสามารถบรรลุความอดทนย่างหนักแน่นไม่หวั่นไหวคลอนแคลนใดๆทั้งสิ้น จนมีสมาธิเป็นหนึ่งด้วยสมาธิจิตเป็นหนึ่งของท่านนี้เองทำให้หลวงปู่อินได้พบเห็นความมหัศจรรย์ต่างๆนานา ในภพภูมิอันเร้นลับมากมาย ความเป็นหนึ่งของสมาธิจิตของหลวงปู่อินนี้ จึงทำให้พิธีลงน้ำมันพรายล่องหนและพิธีลงทองเพชรพญาธรที่หลวงปู่ท่านลงให้แก่ญาติโยมและลูกศิษย์ทั้งหลายนั้นมีผลในทางมหาเสน่ห์ เมตตามหานิยมได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนที่ได้ให้หลวงปู่อินท่านทำพิธีลงน้ำมันพรายล่องหนให้นั้นต่างรู้สึกเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อตอนที่หลวงปู่ท่านกดลงน้ำมันให้ที่กลางหลังนั้น จะรู้สึกถึงพลังที่เย็นวูบทำเอาสั่นไปทั้งตัว และเมื่อหลวงปู่ท่านใช้มือตบลงบนแผ่นหลัง ยิ่งรู้สึกได้เลยว่าเย็นวูบไปทั้งตัว ทุกคนที่ได้สัมผัสนั้นต่างบอกว่า “นี่สิของจริง”มีไม่มากนักพระเกจิอาจารย์ที่มีภาวจิตสูงเยี่ยมยอดระดับนี้ และมีวิชาอาคมแก่กล้าขลังเฉพาะตัวอย่างนี้ ไม่แน่จริงไปอยู่ตามเขาโปรดชาวบ้านป่าในเขมรไม่ได้ เขมรเป็นต้นตำรับวิชาไสยศาสตร์ ทั้งมนต์ดำ มนต์ดีไสยดำ ไสยขาว โดยเฉพาะวิชาทางด้านเมตตามหาเสน่ห์ที่ถือว่า “ยอดเยี่ยมที่สุด” โดยเฉพาะวิชาที่ทำให้คนรักคนหลงนั้น ต้องถือว่าไม่มีใครแรงเกินวิชาตำรับเขมรได้เลย “มนต์เสน่ห์ เสริมชะตาราศี ทำให้มีแต่คนรัก คนหลง” วิชาอาคมขลังในด้านเมตตามหาเสน่ห์ ที่หลวงปู่อิน ท่านใช้สงเคราะห์ให้แก่ญาติโยม นั้น หลวงปู่ท่านบอกว่า จะลงให้เฉพาะในด้านไสยขาว คือ เมื่อลงไปแล้วไม่มีพิษ มีภัยใดๆลงไปแล้วมีแต่ส่ง แต่เสริมในสิ่งดีๆด้านเมตตา มหาเสน่ห์ทำให้เป็นที่รักแก่เพศตรงข้ามเป็นที่รักใคร่แก่บุคคลรอบข้างทุกผู้ทุกคน จะทำอะไรก็มีแต่คนรักใคร่คอยสนับสนุนช่วยเหลือ โดยเฉพาะวิชาการลงน้ำมันพรายล่องหนของหลวงปู่อินท่านนั้น นับเป็นสุดยอดวิชาแห่งมหาเสน่ห์ที่เลื่องลือเป็นอย่างมากเพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้น ทุกคนที่ได้ลงไปต่างบอกว่า “เห็นผลอย่างที่ตั้งใจจริงๆ” ขึ้นชื่อว่า “ของดีทางด้านมหาเสน่ห์” และ “พิธีกรรมทางด้านมหาเสน่ห์นั้นเท่าที่ผู้เขียนได้สัมผัสมานั้น และผู้เขียนตลอดจนลูกศิษย์ลูกหาทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้นเป็นที่ยอมรับว่าแจ๋วที่สุด นั้นมีอยู่ 4 องค์ด้วยกัน องค์แรกที่จัดว่าแรงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย และไม่มีใครไม่รู้จัก ก็คือ หลวงปู่ชื่น วัดตาอี องค์ที่สองชนิดที่เรียกว่าตอนนี้ครองความเป็นอันดับหนึ่ง ในเรื่องมหาเสน่ห์เพียงองค์เดียวเลยก็คือ หลวงปู่อิน วัดหนองเม็ก ส่วนองค์ที่ 3 ก็คือก็คงก็คงก็ยกให้เจ้าตำรับวิชาเสน่ห์จันทน์ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็ต้องเป็น หลวงพ่อโกย แห่งวัดป่าแดง ส่วนองค์สุดท้ายที่ผู้เขียนเองและลูกศิษย์หลายคนที่ได้ใช้ของดีของที ลงน้ำมันกับท่านก็ต่างรู้ในพลังอานภาพ แต่กว่าผู้เขียนจะกราบขออนุญาตให้เปิดตัวนำประวัติมาเผยแพร่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนั่นก็คือหลวงพ่อปั้น เจ้าตำรับวิชากระเหรี่ยงคอม้า 4 องค์ที่นับว่าเป็นสุดยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีความชำนาญทางด้านมหาเสน่ห์เป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันนี้จะเหลืออยู่แค่ 3 องค์เท่านั้น คือหลวงปู่ชื่น วัดตาอี นั้นท่านมรณภาพไปแล้ว เรื่องอาคมมหาเสน่ห์ถ้าจะพูดถึงในยุคปัจจุบันนั้นก็คงจะไม่มีใครเก่งเกินหลวงปู่อินเป็นแน่แท้ เพราะของดีวัตถุมงคลในแต่ละรุ่นนั้น นับเป็นของดีที่แรงในด้านมหาเสน่ห์ตำหรับกำปงจาม แบบเขมรแท้..แท้ “เปรี๊ยนเนียรี” หัวว่านและดอกว่านที่มีอานุภาพทางด้านมหาเสน่ห์ที่ท่านใดมีความรู้ในด้านวิชามหาเสน่ห์ และผู้ที่เล่นว่าน ชอบว่านทางด้านมหาเสน่ห์นั้นจะเป็นที่รู้ดีว่าต้นว่าน“เปรี๊ยนเนียรี” นี้เป็นว่านมหาเสน่ห์ที่มีอานุภาพแรงเทียบกับน้ำมันพรายเลยทีเดียว ในตำหรับวิชา “กำปงจาม” ตำรับเขมรนี้หลวงปู่อินท่านบอกว่าในตำราและวิชาไพรที่ได้เรียนรู้มานี้ การจะสร้างหรือทำสิ่งใดที่เกี่ยวกับมหาเสน่ห์ถ้าจะให้แรงขึ้นนั้น ต้องใช้หัวว่าน “เปรี๊ยนเนียรี” และน้ำมันพรายล่องหนที่ทำพิธีลนจากดอกของต้นเปรี๊ยนเนียรี ซึ่งปกติหลวงปู่อินท่านจะไม่ยอมเปิดเผยถึงต้นว่านอันสำคัญแก่ผู้ใดง่ายๆ ลุงผู้หนึ่งได้กล่าวว่า ว่านมหาเสน่ห์สำคัญที่จะคอยหาให้หลวงปู่อินท่านก็คือ ต้นว่านเปรี๊ยนเนียรี ซึ่งต้นว่านเปรี๊ยนเนียรีนี้จะขึ้นอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่มีความเย็นและความชื้นสูง และจะขึ้นอยู่ตามหินงอกหินย้อยบนเพดานถ้ำเท่านั้น และเมื่อสอบถามลุงเนียนแกก็เล่าต่อว่า การจะทำพิธีเอาว่านนั้นหลวงปู่อินท่านจะเป็นผู้ทำพิธีเองทั้งหมด ซึ่งว่านเปรี๊ยนเนียรีจะหายากมากและจะใช้เฉพาะต้นที่มีดอกเท่านั้น โดยต้นว่านเปรี๊ยนเนียรีนี้จะมีดอกเฉพาะในเดือนธันวาคมถึงมกราคมเท่านั้น และเมื่อเจอต้นว่านที่มีดอกแล้วก็จะมาบอกหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ท่านก็จะไปดูต้นว่านเปรี๊ยนเนียรีนี้ว่าใช่ได้หรือไม่ เมื่อพอดูว่าใช้ได้ หลวงปู่ท่านก็จะใช้เทียนที่หลวงปู่ท่านทำพิธีพิเศษและลงอาคมแล้วนั้น หลวงปู่ก็จะเริ่มจุดเทียนและลนที่ดอกของต้นว่านเปรี๊ยนเนียรี เมื่อเริ่มลนเทียนไปที่ดอกเรื่อยๆน้ำมันของดอกเปรี๊ยนเนียรีก็จะเริ่มไหลออกมา ซึ่งแต่ละต้นก็จะมีดอกอยู่ประมาณ 10 กว่าดอก เมื่อหลวงปู่ท่านทำพิธีจนครบหมดทุกดอกแล้ว หลวงปู่ท่านก็จะได้น้ำมันพราย ที่หลวงปู่ท่านเรียกว่า น้ำมันพรายล่องหน ซึ่งในช่วงเดือนธันวาคม ชาวบ้านก็จะออกไปดูตามถ้ำต่างๆว่ามีต้นเปรี๊ยนเนียรีที่มีดอกนี้อยู่ที่ถ้ำไหนบ้างแล้วก็จะไปบอกหลวงปู่แล้วหลังจากที่ทำพิธีลนน้ำมันเสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านก็จะดึงต้นเปรี๊ยนเนียรีนี้ออกมาจากซอกหิน แล้วก็จะได้หัวว่านเปรี๊ยนเนียรี แล้วหลวงปู่ท่านก็จะนำหัวว่านมาตากให้แห้ง แล้วจึงนำมาตำเป็นผงละเอียดและนำมาผสมกับน้ำมันพรายล่องหนที่ได้จากดอกของต้นเปรี๊ยนเนียรี แล้วจึงนำไปตากให้แห้งอีกครั้งและนำกลับเอามาตำใหม่จนละเอียด ซึ่งผงที่ได้ในแต่ละครั้งก็จะมีอานุภาพที่แรงมากในด้านของมหาเสน่ห์ ชนิดที่เรียกว่าแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว ส่วนต้น ใบและรากของต้นเปรี๊ยนเนียรี หลวงปู่ท่านก็จะนำไปผสมกับว่านไพรมหาเสน่ห์อื่นๆ ทำพิธีเดี่ยวเป็นน้ำมันไพรล่องหนแล้วหลวงปู่ท่านก็จะน้ำน้ำมันพรายล่องหน และน้ำมันไพรล่องหนที่ได้จากการปลุกเสกเดี่ยวมาผสมกัน จึงทำให้น้ำมันพรายล่องหนที่ทำพิธีเดี่ยวนั้นมีพลังอำนาจที่แรงในเรื่องของมหาเสน่ห์และเมตตามหานิยมโดยตรง ( หาเบอร์วัดไม่ได้ครับ ได้แต่ข้อมูลหลวงปู่อิน ) 13.) กุมารทองกะบาลสะปรือ หลวงตาอิน วัดหนองเม็ก หลวงปู่อิน เขมเทโว วัดหนองเม็ก จ.สุรินทร์ หลวงปู่อิน� เขมเทโว� อายุ 84 ปี เถระปรมาจารย์แห่งมหาเสน่ห์ สายเขมรตัวจริง เจ้าตำรับวิชา “เปรี๊ยนเนียรี” วิชาลงน้ำมันพรายล่องหน มนต์มหาเสน่ห์เพชรพญาธร ขึ้นชื่อว่า “ศาสตร์วิชามหาเสน่ห์” นั้นยังมีหลายท่านที่ยังไม่ค่อยเชื่อว่าจะมีจริงหรือ..!!! บางท่านก็ยัง..ห้าสิบ..ห้าสิบ..เพราะยังไม่ได้สัมผัสชนิดที่ว่าของจริง...ของแท้..แท้.. แต่อีกหลายท่าน ซึ่งก็เป็นจำนวนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่า “ศาสตร์วิชามหาเสน่ห์” นั้นมีจริง และเมื่อทำแล้ว..บูชาแล้วได้ผลจริง�เพราะท่านเหล่านั้นล้วนได้สัมผัสด้วยตนเองมาแล้ว และเกิดประสบการณ์และความสำเร็จเมื่อได้ทำพิธีเสริมในเรื่องมหาเสน่ห์และบูชาวัตถุมงคลเครื่องรางในด้านมหาเสน่ห์ด้วยตนเองมาแล้ว ความอยากที่จะใคร่รู้และอยากที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าวิชาในด้านมหาเสน่ห์นั้นมีจริงดังคำล่ำลือหรือไม่นั้น ทำให้หลวงปู่อินเมื่อสมัยหนุ่มๆนั้นท่านอยากที่จะเรียนรู้อยากที่จะศึกษาในวิชามหาเสน่ห์แบบให้รู้กันไปเลยว่ามีจริง แรงจริงแค่ไหน โดยหลวงปู่อินท่านบอกว่า “เมื่อสมัยก่อนนั้นอยากให้มีผู้หญิงมารัก มาหลงเราแต่บ้านเราจน เลยไม่มีสาวที่ไหนมาสนใจ ก็มีทางเดียวคือเรื่องการทำมหาเสน่ห์ แต่พอไปให้หมอเสน่ห์ในหมู่บ้านทำให้ก็ไม่เห็นผล จึงเริ่มจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี ก็เลยตัดสินใจเรียนรู้ด้วยตัวเองเลยดีกว่า ก็พอดีโยมพ่อโยมแม่ให้บวชก็บวช พอบวชได้พรรษากว่าๆความคิดในเรื่องที่อยากจะเรียนรู้ในวิชามหาเสน่ห์ก็กลับมาอีก ก็เลยขอโยมพ่อโยมแม่ไปเรียนที่บ้านกำปงจามในเขมร ซึ่งโยมพ่อเขามีญาติอยู่ที่นั่น ก็เลยได้ไปเรียนวิชาสายเขมรตำรับกำปงจามเป็นครั้งแรก เริ่มเรียนตั้งแต่คาถาธรรมดาไปจนถึงชนิดที่เรียกว่าสั่งคนให้มารักเราได้เลย และเรียนเรื่องการทำน้ำมันพราย และน้ำมันไพร การทำเสน่ห์ยาแฝด ซึ่งตอนนั้นอาตมายังเป็นพระหนุ่มอยู่เมื่อเรียนแล้วก็อยากลอง ก็เลยลองวิชากับสาวหมู่บ้านใกล้กันนั่นแหละ ก็ได้ผลเขามาหาเราที่วัดทุกวันเลย จนท่านพระอาจารย์ท่านรู้ก็เลยโดนดุและต้องทำถอนให้เขา� นั่นแหละยิ่งทำให้ได้รู้ว่าวิชาในเรื่องมหาเสน่ห์จริงๆนั้นมี ก็เลยตั้งอกตั้งใจเรียนวิชามหาเสน่ห์ทุกอย่างใน สายเขมรกำปงจามเลยทีนี้ ทั้งนำน้ำมัน หุงน้ำมันไพรมหาเสน่ห์เคี่ยวสีผึ้ง การทำหุ่นรักลงเสน่ห์ การนำผงเสน่ห์ยาแฝด และเชียนกระทั่งวิชาถอนของมหาเสน่ห์ไสย์ดำ เรียนอยู่ที่กำปงจามนี้ เจ็ด..แปดปี เรียกว่าได้ในวิชามหาเสน่ห์ทั้งหมดในสายเขมรกำปงจามเลยทีเดียว” หลวงปู่อินท่านเล่าต่ออีกว่า “หลังจากนั้นก็อยากที่จะเรียนอยากที่จะรู้ในเรื่องมหาเสน่ห์อีก ก็ไปเรียนกับอาจารย์ฆราวาสในวิชากระเหรี่ยงซึ่งก็เป็นวิชามหาเสน่ห์ โดยวิชาอย่างอื่นไม่สนใจเลยเอาแต่ด้านมหาเสน่ห์อย่างเดียวเลย และก็เดินธุดงค์ไป เรียนวิชาพญาหงส์ร่อนมอญแปลงในแถบพม่าอีกห้า..หกปีก็ได้วิชาในเรื่องมหาเสน่ห์มาอีกเยอะ” สำหรับวิชาในด้านมหาเสน่ห์ที่หลวงปู่อินท่านได้เรียน ได้ศึกษาอย่างช่ำชองเชี่ยวชาญนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาแบบหัวกระทิทั้งนั้นเลยก็ว่าได้และในยุคปัจจุบันจะหาผู้ที่รู้จริงในเรื่องของวิชามหาเสน่ห์แบบครบเครื่องอย่างหลวงปู่อินนั้นคงยากเต็มที หลวงปู่อิน เขมเทโว�นามเดิมท่านชื่อนายขาอิน ทองมาก� โยมบิดาชื่อนายอัน� บุญมาก� โยมมารดาชื่อจาลี� บุญมาก� เกิดที่บ้านหมากมี่ ต.ท่าตูม� อ.ท่าตูม� จ.สุรินทร์� โดยหลวงปู่ท่านเริ่มเรียนวิชาด้านมหาเสน่ห์กับโยมปู่ซึ่งเป็นหมอมหาเสน่ห์ชาวเมรที่อยู่จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเป็นหมอเสน่ห์ที่ขึ้นชื่อที่สุดในสมัยนั้นยุคนั้นเลยทีเดียว� ปัจจุปันหลวงปู่อินท่านเป็นยอดพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ได้ใช้ชีวิตสมณเพศอันบริสุทธิ์ จาริกแสวงหาความสงบไปตามป่า ตามเทือกเขา เพื่อปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกรรมฐานให้จิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เป็นสมาธิมั่นคง หลวงปู่อิน ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ที่ท่านพบขณะกำลังบำเพ็ญอยู่ในป่า และทั่งที่พบขณะเมื่อท่านจาริกไปในประเทศเขมร และพม่า โดยเฉพาะในเขมรนั้นหลวงปู่อินท่านบอกว่าท่านนั้นตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะเข้าไปศึกษาวิชาในด้านมหาเสน่ห์โดยเฉพาะ ทั้งนี้ก็เพราะวิชามหาเสน่ห์ ตำรับวิชาเขมรนั้น ถือว่าแรงที่สุด โดยเฉพาะวิชาในสาย “กัมปงชนัว” ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาที่มากด้วยพลังอานุภาพที่ช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก เสริมเมตตามหาเสน่ห์ให้แก่ผู้คนจนทำให้เป็นที่รักใคร่แก่บุคคลรอบข้าง วิชาแห่งเมตตามหาเสน่ห์ที่เป็นศาสตร์ลี้ลับมาแต่โบราณของเขมรในศาสตร์ของ “กัมปงชนัว”นี้ ผู้ที่รู้ในศาสตร์วิชานี้ในประเทศไทยนั้นหาไม่ได้เลย นอกจากหลวงปู่อินเพียงองค์เดียวเท่านั้น เพราะผู้ที่เรียนในสาย “กัมปงชนัว” นี้ได้จะต้องมีสายเลือดเขมรเท่านั้น� ซึ่งหลวงปู่อินท่านบอกว่า ท่านนั้นรู้ถึงอานุภาพของศาสตร์วิชาในสายกัมปงชนัวนี้มาเป็นเวลานานแล้ว จึงอยากที่จะศึกษาเป็นอย่างมาก� ซึ่งก็นับว่าดวงยังดีที่ท่านสามารถพูดและรู้ภาษาเขมรเป็นอย่างดี เพราะเป็นภาษาบ้านเกิดอยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะได้ศึกษาจนกระทั่งเดินธุดงค์มากราบฝากตัวเป็นศิษย์� พระอาจารย์ปาชังสะบือ เพื่อขอเรียนวิชามหาเสน่ห์กับท่านโดยตรง ซึ่งหลวงปู่ท่านบอกว่าการได้เรียนในสายวิชา “กัมปงชนัว” นี้จะเรียนมนต์มหาเสน่ห์ล้วนๆ ตลอดจนวิชาเสกไพรวิชาลงของมหาเสน่ห์ วิชาทำน้ำมันพรายจากไพร และที่สำคัญที่ต้องเป็นก็คือ การปฏิบัติสมาธิบัติเข้าสู่ธาตุน้ำใช้วิชากสิณน้ำ การปฏิบัติอย่างหนักเพื่ออย่างหนักเพื่อให้จิตมีสมาธิอันเข้มแข็งและมั่นคง ต้องพานพบกับความลำบากนานาประการแทบเอาชีวิตไม่รอด แม้กระทั่งบางครั้งที่หลวงปู่อินท่านต้องนอนนิ่งทั้งวันทั้งคืน เพื่อเอากำลังของจิตเข้าต่อสู้กับความเจ็บป่วยอย่างหนักของร่างกาย จนกระทั่งจิตของท่านสามารถบรรลุความอดทนย่างหนักแน่นไม่หวั่นไหวคลอนแคลนใดๆทั้งสิ้น จนมีสมาธิเป็นหนึ่งด้วยสมาธิจิตเป็นหนึ่งของท่านนี้เองทำให้หลวงปู่อินได้พบเห็นความมหัศจรรย์ต่างๆนานา ในภพภูมิอันเร้นลับมากมาย ความเป็นหนึ่งของสมาธิจิตของหลวงปู่อินนี้ จึงทำให้พิธีลงน้ำมันพรายล่องหนและพิธีลงทองเพชรพญาธรที่หลวงปู่ท่านลงให้แก่ญาติโยมและลูกศิษย์ทั้งหลายนั้นมีผลในทางมหาเสน่ห์ เมตตามหานิยมได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนที่ได้ให้หลวงปู่อินท่านทำพิธีลงน้ำมันพรายล่องหนให้นั้นต่างรู้สึกเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อตอนที่หลวงปู่ท่านกดลงน้ำมันให้ที่กลางหลังนั้น จะรู้สึกถึงพลังที่เย็นวูบทำเอาสั่นไปทั้งตัว และเมื่อหลวงปู่ท่านใช้มือตบลงบนแผ่นหลัง ยิ่งรู้สึกได้เลยว่าเย็นวูบไปทั้งตัว ทุกคนที่ได้สัมผัสนั้นต่างบอกว่า “นี่สิของจริง”มีไม่มากนักพระเกจิอาจารย์ที่มีภาวจิตสูงเยี่ยมยอดระดับนี้ และมีวิชาอาคมแก่กล้าขลังเฉพาะตัวอย่างนี้ ไม่แน่จริงไปอยู่ตามเขาโปรดชาวบ้านป่าในเขมรไม่ได้ เขมรเป็นต้นตำรับวิชาไสยศาสตร์ ทั้งมนต์ดำ มนต์ดีไสยดำ ไสยขาว โดยเฉพาะวิชาทางด้านเมตตามหาเสน่ห์ที่ถือว่า “ยอดเยี่ยมที่สุด” โดยเฉพาะวิชาที่ทำให้คนรักคนหลงนั้น ต้องถือว่าไม่มีใครแรงเกินวิชาตำรับเขมรได้เลย “มนต์เสน่ห์ เสริมชะตาราศี ทำให้มีแต่คนรัก คนหลง” วิชาอาคมขลังในด้านเมตตามหาเสน่ห์ ที่หลวงปู่อิน ท่านใช้สงเคราะห์ให้แก่ญาติโยม นั้น หลวงปู่ท่านบอกว่า จะลงให้เฉพาะในด้านไสยขาว คือ เมื่อลงไปแล้วไม่มีพิษ มีภัยใดๆลงไปแล้วมีแต่ส่ง แต่เสริมในสิ่งดีๆด้านเมตตา มหาเสน่ห์ทำให้เป็นที่รักแก่เพศตรงข้ามเป็นที่รักใคร่แก่บุคคลรอบข้างทุกผู้ทุกคน จะทำอะไรก็มีแต่คนรักใคร่คอยสนับสนุนช่วยเหลือ โดยเฉพาะวิชาการลงน้ำมันพรายล่องหนของหลวงปู่อินท่านนั้น นับเป็นสุดยอดวิชาแห่งมหาเสน่ห์ที่เลื่องลือเป็นอย่างมากเพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้น ทุกคนที่ได้ลงไปต่างบอกว่า “เห็นผลอย่างที่ตั้งใจจริงๆ” ขึ้นชื่อว่า “ของดีทางด้านมหาเสน่ห์” และ “พิธีกรรมทางด้านมหาเสน่ห์นั้นเท่าที่ผู้เขียนได้สัมผัสมานั้น และผู้เขียนตลอดจนลูกศิษย์ลูกหาทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้นเป็นที่ยอมรับว่าแจ๋วที่สุด นั้นมีอยู่ 4 องค์ด้วยกัน องค์แรกที่จัดว่าแรงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย และไม่มีใครไม่รู้จัก ก็คือ หลวงปู่ชื่น วัดตาอี องค์ที่สองชนิดที่เรียกว่าตอนนี้ครองความเป็นอันดับหนึ่ง ในเรื่องมหาเสน่ห์เพียงองค์เดียวเลยก็คือ หลวงปู่อิน วัดหนองเม็ก ส่วนองค์ที่ 3 ก็คือก็คงก็คงก็ยกให้เจ้าตำรับวิชาเสน่ห์จันทน์ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็ต้องเป็น หลวงพ่อโกย แห่งวัดป่าแดง ส่วนองค์สุดท้ายที่ผู้เขียนเองและลูกศิษย์หลายคนที่ได้ใช้ของดีของที ลงน้ำมันกับท่านก็ต่างรู้ในพลังอานภาพ แต่กว่าผู้เขียนจะกราบขออนุญาตให้เปิดตัวนำประวัติมาเผยแพร่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนั่นก็คือหลวงพ่อปั้น เจ้าตำรับวิชากระเหรี่ยงคอม้า 4 องค์ที่นับว่าเป็นสุดยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีความชำนาญทางด้านมหาเสน่ห์เป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันนี้จะเหลืออยู่แค่ 3 องค์เท่านั้น คือหลวงปู่ชื่น วัดตาอี นั้นท่านมรณภาพไปแล้ว เรื่องอาคมมหาเสน่ห์ถ้าจะพูดถึงในยุคปัจจุบันนั้นก็คงจะไม่มีใครเก่งเกินหลวงปู่อินเป็นแน่แท้ เพราะของดีวัตถุมงคลในแต่ละรุ่นนั้น นับเป็นของดีที่แรงในด้านมหาเสน่ห์ตำหรับกำปงจาม แบบเขมรแท้..แท้ “เปรี๊ยนเนียรี” หัวว่านและดอกว่านที่มีอานุภาพทางด้านมหาเสน่ห์ที่ท่านใดมีความรู้ในด้านวิชามหาเสน่ห์ และผู้ที่เล่นว่าน ชอบว่านทางด้านมหาเสน่ห์นั้นจะเป็นที่รู้ดีว่าต้นว่าน“เปรี๊ยนเนียรี” นี้เป็นว่านมหาเสน่ห์ที่มีอานุภาพแรงเทียบกับน้ำมันพรายเลยทีเดียว ในตำหรับวิชา “กำปงจาม” ตำรับเขมรนี้หลวงปู่อินท่านบอกว่าในตำราและวิชาไพรที่ได้เรียนรู้มานี้ การจะสร้างหรือทำสิ่งใดที่เกี่ยวกับมหาเสน่ห์ถ้าจะให้แรงขึ้นนั้น ต้องใช้หัวว่าน “เปรี๊ยนเนียรี” และน้ำมันพรายล่องหนที่ทำพิธีลนจากดอกของต้นเปรี๊ยนเนียรี ซึ่งปกติหลวงปู่อินท่านจะไม่ยอมเปิดเผยถึงต้นว่านอันสำคัญแก่ผู้ใดง่ายๆ ลุงผู้หนึ่งได้กล่าวว่า ว่านมหาเสน่ห์สำคัญที่จะคอยหาให้หลวงปู่อินท่านก็คือ ต้นว่านเปรี๊ยนเนียรี ซึ่งต้นว่านเปรี๊ยนเนียรีนี้จะขึ้นอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่มีความเย็นและความชื้นสูง และจะขึ้นอยู่ตามหินงอกหินย้อยบนเพดานถ้ำเท่านั้น และเมื่อสอบถามลุงเนียนแกก็เล่าต่อว่า การจะทำพิธีเอาว่านนั้นหลวงปู่อินท่านจะเป็นผู้ทำพิธีเองทั้งหมด ซึ่งว่านเปรี๊ยนเนียรีจะหายากมากและจะใช้เฉพาะต้นที่มีดอกเท่านั้น โดยต้นว่านเปรี๊ยนเนียรีนี้จะมีดอกเฉพาะในเดือนธันวาคมถึงมกราคมเท่านั้น และเมื่อเจอต้นว่านที่มีดอกแล้วก็จะมาบอกหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ท่านก็จะไปดูต้นว่านเปรี๊ยนเนียรีนี้ว่าใช่ได้หรือไม่ เมื่อพอดูว่าใช้ได้ หลวงปู่ท่านก็จะใช้เทียนที่หลวงปู่ท่านทำพิธีพิเศษและลงอาคมแล้วนั้น หลวงปู่ก็จะเริ่มจุดเทียนและลนที่ดอกของต้นว่านเปรี๊ยนเนียรี เมื่อเริ่มลนเทียนไปที่ดอกเรื่อยๆน้ำมันของดอกเปรี๊ยนเนียรีก็จะเริ่มไหลออกมา ซึ่งแต่ละต้นก็จะมีดอกอยู่ประมาณ 10 กว่าดอก เมื่อหลวงปู่ท่านทำพิธีจนครบหมดทุกดอกแล้ว หลวงปู่ท่านก็จะได้น้ำมันพราย ที่หลวงปู่ท่านเรียกว่า น้ำมันพรายล่องหน ซึ่งในช่วงเดือนธันวาคม ชาวบ้านก็จะออกไปดูตามถ้ำต่างๆว่ามีต้นเปรี๊ยนเนียรีที่มีดอกนี้อยู่ที่ถ้ำไหนบ้างแล้วก็จะไปบอกหลวงปู่แล้วหลังจากที่ทำพิธีลนน้ำมันเสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านก็จะดึงต้นเปรี๊ยนเนียรีนี้ออกมาจากซอกหิน แล้วก็จะได้หัวว่านเปรี๊ยนเนียรี แล้วหลวงปู่ท่านก็จะนำหัวว่านมาตากให้แห้ง แล้วจึงนำมาตำเป็นผงละเอียดและนำมาผสมกับน้ำมันพรายล่องหนที่ได้จากดอกของต้นเปรี๊ยนเนียรี แล้วจึงนำไปตากให้แห้งอีกครั้งและนำกลับเอามาตำใหม่จนละเอียด ซึ่งผงที่ได้ในแต่ละครั้งก็จะมีอานุภาพที่แรงมากในด้านของมหาเสน่ห์ ชนิดที่เรียกว่าแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว ส่วนต้น ใบและรากของต้นเปรี๊ยนเนียรี หลวงปู่ท่านก็จะนำไปผสมกับว่านไพรมหาเสน่ห์อื่นๆ ทำพิธีเดี่ยวเป็นน้ำมันไพรล่องหนแล้วหลวงปู่ท่านก็จะน้ำน้ำมันพรายล่องหน และน้ำมันไพรล่องหนที่ได้จากการปลุกเสกเดี่ยวมาผสมกัน จึงทำให้น้ำมันพรายล่องหนที่ทำพิธีเดี่ยวนั้นมีพลังอำนาจที่แรงในเรื่องของมหาเสน่ห์และเมตตามหานิยมโดยตรง ( หาเบอร์วัดไม่ได้ครับ ได้แต่ข้อมูลหลวงปู่อิน )
dd 124.121.10.38	ความคิดเห็นที่ 5 10/08/2011 , 17:24 Quote เป็นประโยชน์ในการ ค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องกุมารมาก เป็นประโยชน์ในการ ค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องกุมารมาก
กุมารทอง 1.46.32.87	ความคิดเห็นที่ 6 10/08/2011 , 17:29 Quote 14.) กุมารทอง วัดคันลัด พระประแดง ข่าวดี ขณะนี้ เทพกุมาร(กุมารทอง) ฃุดใหม่ มีมาให้บูชาแล้ว 6 แบบ 6 เอกลักษณ์ 6 พุทธคุณ โดยท่านสามารถบูชาได้ในราคาองค์ละ 300.-� หากท่านยังคงหากุมารทองแบบพกพาอยู่ บัดนี้ ทางวัดได้นำกุมารทองแบบพกพา มาให้บรรดาญาติโยมทั้งหลายได้บูชากันอีกแล้ว โดยมีให้เลือกได้ทั้ง เทพกุมาร(เด็กผู้ชาย) และ เทพกุมารี(เด็กผู้หญิง) ท่านสามารถบูชาได้ในราคา องค์ละ 200.- หากไม่สะดวกที่จะเดินทางมา สามารถบูชาได้โดยส่งธนาณัติสั่งจ่าย กฤษดา พุทธิยา ไปรษณีย์ปากลัด ๑๐๑๓๒ โดยเพิ่มค่าจัดส่งอีก 50.- จ่าหน้าซองถึง วัดคันลัด เลขที่ ๔ หมู่ ๙ บ้านทรงคนอง ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๑๓๐ และอย่าลืมเขียนชื่อที่อยู่ของตัวท่านเองให้ชัดเจน เพื่อที่ท่านจะได้รับเทพกุมารในเวลารวดเร็ว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08-6607-3758 เกี่ยวกับวัด วัดคันลัด ตั้งอยู่เลขที่ ๔ บ้านทรงคนอง ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นราว พ.ศ. 2349� ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดคันลัด อยู่ติดที่ว่าการอำเภอพระประแดง รถเมล์ สาย 6,82, 138 ลงสุดสายที่ท่า น้ำพระประแดง ต่อมอร์เตอร์ไซด์วิน 10 บาท บอกมาที่กุัฏิเจ้าอาวาส วัดคันลัด มาสะดวก แผนที่วัีด หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถาม ข้อมูลจากทางวัดคันลัด พระประแดงได้โดยตรงที่ เบอร์โทรศัพท์ 08-6607-3758(อ.ดา) Email : watkanlat@hotmail.com จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แน่นอน มากกว่า สำหรับท่านที่อยู่ทางภาคเหนือ หากต้องการบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดคันลัด สามารถบูชาได้ที่ ร้านร่มใบบุญ ตลาดประตูเชียงใหม่ จ.เีชียงใหม่ โทรศัพท์ 0-5381-4804 หรือ บูชาได้ที่วัดหัวลำโพง สามย่าน กทม. โทร. 0-2233-7558 14.) กุมารทอง วัดคันลัด พระประแดง ข่าวดี ขณะนี้ เทพกุมาร(กุมารทอง) ฃุดใหม่ มีมาให้บูชาแล้ว 6 แบบ 6 เอกลักษณ์ 6 พุทธคุณ โดยท่านสามารถบูชาได้ในราคาองค์ละ 300.-� หากท่านยังคงหากุมารทองแบบพกพาอยู่ บัดนี้ ทางวัดได้นำกุมารทองแบบพกพา มาให้บรรดาญาติโยมทั้งหลายได้บูชากันอีกแล้ว โดยมีให้เลือกได้ทั้ง เทพกุมาร(เด็กผู้ชาย) และ เทพกุมารี(เด็กผู้หญิง) ท่านสามารถบูชาได้ในราคา องค์ละ 200.- หากไม่สะดวกที่จะเดินทางมา สามารถบูชาได้โดยส่งธนาณัติสั่งจ่าย กฤษดา พุทธิยา ไปรษณีย์ปากลัด ๑๐๑๓๒ โดยเพิ่มค่าจัดส่งอีก 50.- จ่าหน้าซองถึง วัดคันลัด เลขที่ ๔ หมู่ ๙ บ้านทรงคนอง ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๑๓๐ และอย่าลืมเขียนชื่อที่อยู่ของตัวท่านเองให้ชัดเจน เพื่อที่ท่านจะได้รับเทพกุมารในเวลารวดเร็ว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08-6607-3758 เกี่ยวกับวัด วัดคันลัด ตั้งอยู่เลขที่ ๔ บ้านทรงคนอง ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นราว พ.ศ. 2349� ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดคันลัด อยู่ติดที่ว่าการอำเภอพระประแดง รถเมล์ สาย 6,82, 138 ลงสุดสายที่ท่า น้ำพระประแดง ต่อมอร์เตอร์ไซด์วิน 10 บาท บอกมาที่กุัฏิเจ้าอาวาส วัดคันลัด มาสะดวก แผนที่วัีด หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถาม ข้อมูลจากทางวัดคันลัด พระประแดงได้โดยตรงที่ เบอร์โทรศัพท์ 08-6607-3758(อ.ดา) Email : watkanlat@hotmail.com จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แน่นอน มากกว่า สำหรับท่านที่อยู่ทางภาคเหนือ หากต้องการบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดคันลัด สามารถบูชาได้ที่ ร้านร่มใบบุญ ตลาดประตูเชียงใหม่ จ.เีชียงใหม่ โทรศัพท์ 0-5381-4804 หรือ บูชาได้ที่วัดหัวลำโพง สามย่าน กทม. โทร. 0-2233-7558
กุมารทอง 1.46.32.87	ความคิดเห็นที่ 7 10/08/2011 , 17:50 Quote 16.) ลูกกรอกเขมร หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียงวราราม ลูกกรอกเขมร พลายดำ คนองฤทธิ์ หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียงวราราม บุรีรัมย์ หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียงวราราม อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มาแรงมากของจังหวัดบุรีรัมย์ ท่านเป็นพระเกจิเชี้อสายเขมรตำรับสายเขากุเลน กัมพูชา ท่านศึกษาสรรพวิทยาคม อาถรรพณ์เวทต่างๆ มาสายเดียวกับหลวงปู่ชื่น วัตถุมงคลได้รับความเมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสก บรรจุพลังอาถรรพณ์เวท และสรรพวิทยาคมต่าง ๆ ตามตำรับเขมรอย่างสุดเข้มขลังเข้มขลังและกำลังมาแรงมากของจังหวัดบุรีรัมย์อีกองค์ หนึ่งครับ มวลสารแรงๆทั้งนั้น ตามตำรับเขมร สูง 2.5 นิ้ว กว้าง 1.5 นิ้ว �ปลุกเสกเดี่ยว เรียกจิตวิญญาณลูกกรอกเขมรโดยหลวงพ่อเมียน �ลูกกรอกสร้างจากดิน 7 ป่าช้า เถ้ากระดูกนับไม่ถ้วน� ผงเถ้าประตูเมรุ� ผงไม้ตะเคียน ว่านกุมารทอง ผงพรายกุมารนับร้อย ลูกกรอกแท้นำมาบดผสม และมวลสารอาถรรพ์อื่นๆอีกมาก ฝังตะกรุดจตุโรบังเกิดทรัพย์ หัวใจลูกกรอกคนองฤทธิ์ ผู้บูชาไว้ลูกกรอกจะบันดาลโชคลาภ เงินทอง� ช่วยค้าขาย เรียกลูกค้าให้เข้ามาอุดหนุน มีแต่ดีกับได้ โทษไม่มี เพราะไม่ได้บังคับมาเค้าเต็มใจมาช่วยเพื่อสร้างบุญกุศลเพิ่มเติม "หลวงพ่อพูดว่ายิ่งเลี้ยงยิ่งทำบุญให้ยิ่งมีฤทธิ์เยอะ ยิ่งเก่งขึ้น แล้วท่านก็หัวเราะ เอาไปใช้ดูเดี๋ยวรู้เอง วิธีเลี้ยง� 1.ก่อนนำลูกกรอกพลายดำ คนองฤทธิ์ หลวงพ่อเมียน เข้าบ้านจุดธูป16ดอกไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ขออนุญาตนำลูกกรอกพลายดำ คนองฤทธิ์เข้าบ้าน เพื่อคุ้มครองดูแลช่วยทำมาหากิน ขออนุญาตให้ลูกกรอกเข้า� ออกสะดวก แล้ว หากบ้านใดที่มีกุมารอยู่แล้วให้จุดธูปบอกกุมารทองว่าได้พาน้องมาอยู่เพื่อช่วยค้าขายอีกตนดูแลน้องด้วย 2.นำลูกกรอกไปวางไว้ที่พานที่จัดเตรียมไว้จะเซ่นไหว้ขนมตามแต่ศรัทธาแต่ต้องมีน้ำเปล่าด้วยสามารถวางรวมกับกุมารทองได้แล้วจุดธูป5ดอก 3 ต่อหน้าลูกกรอกแล้วให้อธิษฐานลูกกรอกของพ่อ ต่อไปนี้เจ้ามาอยู่กับพ่อแล้วพ่อจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า….ถ้าพ่อเรียกเจ้า เจ้าอยู่ที่ใหนจงมาหาพ่อ ถ้าพ่อเรียกเจ้ามากินข้าว เจ้าจงมา อยู่กับพ่อช่วยคุ้มครองพ่ออย่าให้ใครมาทำร้ายพ่อได้ ช่วยพ่อค้าขาย เงินทองไหลมาเทมาอย่าได้ขาด เจ้ายากได้อะไรพ่อจะซื้อให้ถ้าเจ้าช่วยพ่อ พ่อรักเจ้ามาก ขอให้เจ้ารักพ่อตอบ ลูกจงมา จงมา (แล้วแต่อธิษฐานตามใจชอบ)3.เมื่ออธิษฐานเสร็จนำธูปไปปักกลางแจ้ง 4.ทุกๆวันพระจัดสำรับน้อยๆให้เขาตามศรัทธาจะเป็นขนม น้ำแดง กล้วยน้ำว้า ข้าว ตามศรัทธา5.หมั่นทำบุญอุทิศให้ลูกๆบ่อยๆได้บารมีเพิ่มพูน แข็งแกร่งว่านอนสอนง่าย ช่วยค้าขายคลองว่องไว หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียง ผู้สืบสานตำรา 'หุ่นพยนต์อาคม' หลวงพ่อเมียน กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดบ้านจะเนียง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดังด้านเวทวิทยาคม เชื้อสายเขมร เป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของชาวบุรีรัมย์และใกล้เคียงอย่างกว้างขวาง �ท่านเกิดเมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๗๙ ณ บ้านกุมกัน เมืองสวายตรึง ประเทศกัมพูชา ต่อมาท่านได้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์เวทวิทยาคมกับตาชื่อ อาจารย์สวาย และอาจารย์ตายันตัก จนอายุได้ ๒๖ ปี จึงได้อุปสมบท ณ วัดยอดทอง อ.กำพงตราด จ.กำโปรด ฝึกฝนสมาธิและวิชาเวทมนตร์จนชำนาญกับพระอุปัชฌาย์ ณ วัดยอดทอง ด้วยใจรักในพระพุทธศาสนา และชอบเรียนวิชาการต่างๆ ที่เร้นลับ จึงค้นคว้าศึกษาเวทมนตร์วิชาอาถรรพณ์แห่งนครวัด ตลอดจนตำรับต่างๆ จากอาจารย์จนหมดสิ้นพ.ศ.๒๕๑๘ ท่านได้เดินธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพรหลายแห่งในเขมร จนเข้ามาเมืองไทย ปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าเขต จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ แล้วจึงไปพักอยู่ที่วัดต่างๆ หลายแห่ง จนได้มาสร้างวัดบ้านจะเนียง ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสของชาวบ้านจำนวนมาก เสนาสนะต่างๆ จึงเกิดขึ้นในวัดแห่งนี้มากมาย และขณะนี้ท่านได้สร้างโบสถ์เสร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง �หลวงพ่อเมียน มีความชำนาญในการสร้าง “หุ่นพยนต์อาคม” ตามตำราโบราณของเขมร เพื่อเอาไว้เฝ้าปราสาทนครวัด นับเป็นตำราอาถรรพณ์แห่งนครวัด ที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์มาก หุ่นพยนต์ที่ท่านสร้างขึ้นนี้ เพื่อแจกชาวบ้านให้ไปคุ้มครองป้องกันภัย และให้ช่วยทำมาค้าขายดี จนเป็นที่ศรัทธานับถือของชาวบ้านมาก �นับตั้งแต่ท่านมาสร้างวัดขึ้นจนทุกวันนี้ มีชาวบ้านทั่วไปที่รู้กิตติศัพท์ของท่านต่างพาเดินทางไปกราบไหว้ท่านเป็นประจำ ไปขอให้ท่านทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ขจัดปัดเป่า ขอให้แก้ไขความทุกข์ยาก โดยเฉพาะในเรื่องน้ำมนต์ของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก �ขณะนี้ท่านได้จัดสร้าง "เหรียญและหุ่นพยนต์อาคม" เนื้อโลหะ ขึ้นเป็นครั้งแรก (สมัยก่อนท่านทำหุ่นพยนต์ด้วยกระดาษและผ้า) โดยท่านได้จารอักขระเลขยันต์ต่างๆ ลงในแผ่นโลหะ เพื่อเป็นส่วนผสมของเนื้อชนวน แล้วจึงนำไปสร้างเป็น "หุ่นพยนต์อาคม" พร้อมกันนี้ท่านได้อนุญาตให้จัดสร้างเหรียญที่ระลึกขึ้นด้วย คือ เหรียญรูปเหมือน "รุ่นหุ่นพยนต์อาคม" เพื่อนำรายได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดบ้านจะเนียง ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.๐๘-๑๖๑๓-๔๗๒๑, ๐๘-๖๙๐๗-๕๐๐๕ 16.) ลูกกรอกเขมร หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียงวราราม ลูกกรอกเขมร พลายดำ คนองฤทธิ์ หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียงวราราม บุรีรัมย์ หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียงวราราม อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มาแรงมากของจังหวัดบุรีรัมย์ ท่านเป็นพระเกจิเชี้อสายเขมรตำรับสายเขากุเลน กัมพูชา ท่านศึกษาสรรพวิทยาคม อาถรรพณ์เวทต่างๆ มาสายเดียวกับหลวงปู่ชื่น วัตถุมงคลได้รับความเมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสก บรรจุพลังอาถรรพณ์เวท และสรรพวิทยาคมต่าง ๆ ตามตำรับเขมรอย่างสุดเข้มขลังเข้มขลังและกำลังมาแรงมากของจังหวัดบุรีรัมย์อีกองค์ หนึ่งครับ มวลสารแรงๆทั้งนั้น ตามตำรับเขมร สูง 2.5 นิ้ว กว้าง 1.5 นิ้ว �ปลุกเสกเดี่ยว เรียกจิตวิญญาณลูกกรอกเขมรโดยหลวงพ่อเมียน �ลูกกรอกสร้างจากดิน 7 ป่าช้า เถ้ากระดูกนับไม่ถ้วน� ผงเถ้าประตูเมรุ� ผงไม้ตะเคียน ว่านกุมารทอง ผงพรายกุมารนับร้อย ลูกกรอกแท้นำมาบดผสม และมวลสารอาถรรพ์อื่นๆอีกมาก ฝังตะกรุดจตุโรบังเกิดทรัพย์ หัวใจลูกกรอกคนองฤทธิ์ ผู้บูชาไว้ลูกกรอกจะบันดาลโชคลาภ เงินทอง� ช่วยค้าขาย เรียกลูกค้าให้เข้ามาอุดหนุน มีแต่ดีกับได้ โทษไม่มี เพราะไม่ได้บังคับมาเค้าเต็มใจมาช่วยเพื่อสร้างบุญกุศลเพิ่มเติม "หลวงพ่อพูดว่ายิ่งเลี้ยงยิ่งทำบุญให้ยิ่งมีฤทธิ์เยอะ ยิ่งเก่งขึ้น แล้วท่านก็หัวเราะ เอาไปใช้ดูเดี๋ยวรู้เอง วิธีเลี้ยง� 1.ก่อนนำลูกกรอกพลายดำ คนองฤทธิ์ หลวงพ่อเมียน เข้าบ้านจุดธูป16ดอกไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ขออนุญาตนำลูกกรอกพลายดำ คนองฤทธิ์เข้าบ้าน เพื่อคุ้มครองดูแลช่วยทำมาหากิน ขออนุญาตให้ลูกกรอกเข้า� ออกสะดวก แล้ว หากบ้านใดที่มีกุมารอยู่แล้วให้จุดธูปบอกกุมารทองว่าได้พาน้องมาอยู่เพื่อช่วยค้าขายอีกตนดูแลน้องด้วย 2.นำลูกกรอกไปวางไว้ที่พานที่จัดเตรียมไว้จะเซ่นไหว้ขนมตามแต่ศรัทธาแต่ต้องมีน้ำเปล่าด้วยสามารถวางรวมกับกุมารทองได้แล้วจุดธูป5ดอก 3 ต่อหน้าลูกกรอกแล้วให้อธิษฐานลูกกรอกของพ่อ ต่อไปนี้เจ้ามาอยู่กับพ่อแล้วพ่อจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า….ถ้าพ่อเรียกเจ้า เจ้าอยู่ที่ใหนจงมาหาพ่อ ถ้าพ่อเรียกเจ้ามากินข้าว เจ้าจงมา อยู่กับพ่อช่วยคุ้มครองพ่ออย่าให้ใครมาทำร้ายพ่อได้ ช่วยพ่อค้าขาย เงินทองไหลมาเทมาอย่าได้ขาด เจ้ายากได้อะไรพ่อจะซื้อให้ถ้าเจ้าช่วยพ่อ พ่อรักเจ้ามาก ขอให้เจ้ารักพ่อตอบ ลูกจงมา จงมา (แล้วแต่อธิษฐานตามใจชอบ)3.เมื่ออธิษฐานเสร็จนำธูปไปปักกลางแจ้ง 4.ทุกๆวันพระจัดสำรับน้อยๆให้เขาตามศรัทธาจะเป็นขนม น้ำแดง กล้วยน้ำว้า ข้าว ตามศรัทธา5.หมั่นทำบุญอุทิศให้ลูกๆบ่อยๆได้บารมีเพิ่มพูน แข็งแกร่งว่านอนสอนง่าย ช่วยค้าขายคลองว่องไว หลวงพ่อเมียน วัดบ้านจะเนียง ผู้สืบสานตำรา 'หุ่นพยนต์อาคม' หลวงพ่อเมียน กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดบ้านจะเนียง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดังด้านเวทวิทยาคม เชื้อสายเขมร เป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของชาวบุรีรัมย์และใกล้เคียงอย่างกว้างขวาง �ท่านเกิดเมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๗๙ ณ บ้านกุมกัน เมืองสวายตรึง ประเทศกัมพูชา ต่อมาท่านได้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์เวทวิทยาคมกับตาชื่อ อาจารย์สวาย และอาจารย์ตายันตัก จนอายุได้ ๒๖ ปี จึงได้อุปสมบท ณ วัดยอดทอง อ.กำพงตราด จ.กำโปรด ฝึกฝนสมาธิและวิชาเวทมนตร์จนชำนาญกับพระอุปัชฌาย์ ณ วัดยอดทอง ด้วยใจรักในพระพุทธศาสนา และชอบเรียนวิชาการต่างๆ ที่เร้นลับ จึงค้นคว้าศึกษาเวทมนตร์วิชาอาถรรพณ์แห่งนครวัด ตลอดจนตำรับต่างๆ จากอาจารย์จนหมดสิ้นพ.ศ.๒๕๑๘ ท่านได้เดินธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพรหลายแห่งในเขมร จนเข้ามาเมืองไทย ปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าเขต จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ แล้วจึงไปพักอยู่ที่วัดต่างๆ หลายแห่ง จนได้มาสร้างวัดบ้านจะเนียง ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสของชาวบ้านจำนวนมาก เสนาสนะต่างๆ จึงเกิดขึ้นในวัดแห่งนี้มากมาย และขณะนี้ท่านได้สร้างโบสถ์เสร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง �หลวงพ่อเมียน มีความชำนาญในการสร้าง “หุ่นพยนต์อาคม” ตามตำราโบราณของเขมร เพื่อเอาไว้เฝ้าปราสาทนครวัด นับเป็นตำราอาถรรพณ์แห่งนครวัด ที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์มาก หุ่นพยนต์ที่ท่านสร้างขึ้นนี้ เพื่อแจกชาวบ้านให้ไปคุ้มครองป้องกันภัย และให้ช่วยทำมาค้าขายดี จนเป็นที่ศรัทธานับถือของชาวบ้านมาก �นับตั้งแต่ท่านมาสร้างวัดขึ้นจนทุกวันนี้ มีชาวบ้านทั่วไปที่รู้กิตติศัพท์ของท่านต่างพาเดินทางไปกราบไหว้ท่านเป็นประจำ ไปขอให้ท่านทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ขจัดปัดเป่า ขอให้แก้ไขความทุกข์ยาก โดยเฉพาะในเรื่องน้ำมนต์ของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก �ขณะนี้ท่านได้จัดสร้าง "เหรียญและหุ่นพยนต์อาคม" เนื้อโลหะ ขึ้นเป็นครั้งแรก (สมัยก่อนท่านทำหุ่นพยนต์ด้วยกระดาษและผ้า) โดยท่านได้จารอักขระเลขยันต์ต่างๆ ลงในแผ่นโลหะ เพื่อเป็นส่วนผสมของเนื้อชนวน แล้วจึงนำไปสร้างเป็น "หุ่นพยนต์อาคม" พร้อมกันนี้ท่านได้อนุญาตให้จัดสร้างเหรียญที่ระลึกขึ้นด้วย คือ เหรียญรูปเหมือน "รุ่นหุ่นพยนต์อาคม" เพื่อนำรายได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดบ้านจะเนียง ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.๐๘-๑๖๑๓-๔๗๒๑, ๐๘-๖๙๐๗-๕๐๐๕
กุมารทอง 1.46.32.87	ความคิดเห็นที่ 8 10/08/2011 , 18:05 Quote 17.) กุมารดูดรก วัดตาก้อง กุมารทองดูดรก หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ท่านเป็นลูกศิษย์ของ "หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก" พระผู้มีวิชาอาคมขลัง เป็นที่นับถือของคนทั่วไป หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังยุคเก่า ที่ชาวนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงจำนวนมากให้ความเคารพศรัทธา กุมารดูดรกสร้างขึ้นช่วงปี พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา แต่ก่อนปี 2490 จำนวนการสร้างไม่มากนัก ความคมชัดในแต่ละองค์ไม่เหมือนกันเพราะเกิดจากการหล่อแบบ ถูกเก็บไว้ใต้ฐานพระประธานในพระอุโบสถเก่า แห่งวัดตาก้อง มานานร่วม 80 ปี หลวงพ่อแช่ม ท่านใช้คาถากุมารดูดรกตอนอยู่ในครรภ์มารดา เสมือนเด็กที่มีกินสุขสบายในท้องมารดา ดีในเรื่องทำมาหากินคล่อง มีโชค มีลาภไม่มีอด เป็นเมตตามหานิยมต่อผู้พบเห็น แม้กระทั้งเรื่องคงกระพันชาตรี ป้องกันอันตราย� หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ท่านทรงเป็นหนึ่งในอาจารณ์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการสร้างกุมารให้กับ หลวงพ่อเต๋ วัดส่ามง่าม จ.นครปฐม ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่านเอง หลวงพ่อแช่มถ่ายทอดพื้นฐานความรู้เรื่องบทสวดมนต์ และคาถาอาคมให้ท่องจำ สอนอ่าน-เขียน อักษรขอม เพื่อปูทางไปสู่การเรียนคำภีร์อื่นๆโดยเฉพาะการสร้างกุมารทองนั้นหลวงพ่อเต๋ ก็ได้วิชามาจากหลวงพ่อแช่มจนกุมารของพ่อเต๋ เป็นที่ยอมรับกันในระดับประเทศ ศิษย์ที่เล่าเรียนด้วยกัน คือ หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี และหลวงพ่อเต้า หลวงพ่อแช่มมีการสร้างวัตถุบูชาออกมาน้อยมาก จึงมีสิทธิ์ไม่กี่คนที่สามารถได้รับไปบูชาเป็นเหตุให้กุมารของท่านจึงถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาแต่ความขลังของวัตถุบูชาของท่านไม่เคยเสื่อมหรือถูกลืมจนปัจจุบัน วัตถุมงคลของหลวงพ่อแช่มที่ท่านสร้างและปลุกเสกนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรล้วนแต่มีประสบการณ์กับผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะว่า ท่านเก่งทางคาถาอาคมอย่างเดียว แต่ท่านยังมีอำนาจทางพลังจิตสูงด้วย เล่ากันว่า หลวงพ่อแช่มท่านสำเร็จ "กสิณ" ซึ่งผู้ใดที่สำเร็จกสิณจะสามารถแสดงฤทธิ์ได้แบบที่คนธรรมดาทำไม่ได้ ในเรื่องของวิชาอาคมหรือไสยศาสตร์นี้ ถ้าหากปราศจากพลังอำนาจทางจิต การนำเอาวิชาอาคม หรือไสยศาสตร์มาใช้ก็ไม่ได้ผล แต่สำหรับผู้ที่มีพลังอำนาจจิตแล้วจะสามารถนำเอาวิชาเหล่านี้มาใช้ได้ผลเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามที่ตำราบอกเอาไว้จริงๆ คาถากุมารดูดรก หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ตั้ง นะโม 3 จบ โสสะอะนิ� สะอะนิโน� เอหิตาตะ� ปุเรถะมะมะ ปาระมิง� หะทะยังเมภิ� สันเจถะกะโรถะ� วะจะนังมะมะ วัดตาก้อง ตำบลตาก้อง อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม� 73000 โทร 034-202388 17.) กุมารดูดรก วัดตาก้อง กุมารทองดูดรก หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ท่านเป็นลูกศิษย์ของ "หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก" พระผู้มีวิชาอาคมขลัง เป็นที่นับถือของคนทั่วไป หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังยุคเก่า ที่ชาวนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงจำนวนมากให้ความเคารพศรัทธา กุมารดูดรกสร้างขึ้นช่วงปี พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา แต่ก่อนปี 2490 จำนวนการสร้างไม่มากนัก ความคมชัดในแต่ละองค์ไม่เหมือนกันเพราะเกิดจากการหล่อแบบ ถูกเก็บไว้ใต้ฐานพระประธานในพระอุโบสถเก่า แห่งวัดตาก้อง มานานร่วม 80 ปี หลวงพ่อแช่ม ท่านใช้คาถากุมารดูดรกตอนอยู่ในครรภ์มารดา เสมือนเด็กที่มีกินสุขสบายในท้องมารดา ดีในเรื่องทำมาหากินคล่อง มีโชค มีลาภไม่มีอด เป็นเมตตามหานิยมต่อผู้พบเห็น แม้กระทั้งเรื่องคงกระพันชาตรี ป้องกันอันตราย� หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ท่านทรงเป็นหนึ่งในอาจารณ์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการสร้างกุมารให้กับ หลวงพ่อเต๋ วัดส่ามง่าม จ.นครปฐม ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่านเอง หลวงพ่อแช่มถ่ายทอดพื้นฐานความรู้เรื่องบทสวดมนต์ และคาถาอาคมให้ท่องจำ สอนอ่าน-เขียน อักษรขอม เพื่อปูทางไปสู่การเรียนคำภีร์อื่นๆโดยเฉพาะการสร้างกุมารทองนั้นหลวงพ่อเต๋ ก็ได้วิชามาจากหลวงพ่อแช่มจนกุมารของพ่อเต๋ เป็นที่ยอมรับกันในระดับประเทศ ศิษย์ที่เล่าเรียนด้วยกัน คือ หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี และหลวงพ่อเต้า หลวงพ่อแช่มมีการสร้างวัตถุบูชาออกมาน้อยมาก จึงมีสิทธิ์ไม่กี่คนที่สามารถได้รับไปบูชาเป็นเหตุให้กุมารของท่านจึงถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาแต่ความขลังของวัตถุบูชาของท่านไม่เคยเสื่อมหรือถูกลืมจนปัจจุบัน วัตถุมงคลของหลวงพ่อแช่มที่ท่านสร้างและปลุกเสกนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรล้วนแต่มีประสบการณ์กับผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะว่า ท่านเก่งทางคาถาอาคมอย่างเดียว แต่ท่านยังมีอำนาจทางพลังจิตสูงด้วย เล่ากันว่า หลวงพ่อแช่มท่านสำเร็จ "กสิณ" ซึ่งผู้ใดที่สำเร็จกสิณจะสามารถแสดงฤทธิ์ได้แบบที่คนธรรมดาทำไม่ได้ ในเรื่องของวิชาอาคมหรือไสยศาสตร์นี้ ถ้าหากปราศจากพลังอำนาจทางจิต การนำเอาวิชาอาคม หรือไสยศาสตร์มาใช้ก็ไม่ได้ผล แต่สำหรับผู้ที่มีพลังอำนาจจิตแล้วจะสามารถนำเอาวิชาเหล่านี้มาใช้ได้ผลเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามที่ตำราบอกเอาไว้จริงๆ คาถากุมารดูดรก หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ตั้ง นะโม 3 จบ โสสะอะนิ� สะอะนิโน� เอหิตาตะ� ปุเรถะมะมะ ปาระมิง� หะทะยังเมภิ� สันเจถะกะโรถะ� วะจะนังมะมะ วัดตาก้อง ตำบลตาก้อง อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม� 73000 โทร 034-202388
กุมารทอง 1.46.32.87	ความคิดเห็นที่ 9 10/08/2011 , 18:21 Quote 17.) กุมารทอง 2 หัว ศรนรินทร์ สินนารายณ์ วัดประดู่ เปิดตำนาน กุมารทองแฝดสองหัว ศรนรินทร์-สินนารายณ์ วัดประดู่ วัดอินทราวาส ตลิ่งชัน จากรายการวีไอพี ช่อง9 ศรัทธา ความเชื่อ ของชาวบ้านย่านตลิ่งชัน ขอหวย บนบาน ได้สมหวัง วันนี้Horoworld จึงขอตามติดกระแสนี้ นำข้อมูลเกี่ยวกับ กุมารทองแฝดสองหัว ฝากกันค่ะ � กุมารทองแฝดสองหัว ศรนรินทร์-สินนารายณ์� ลูกกรอกนั้นแบ่งออกเป็น สองชนิด คือ ลูกกรอกที่เป็นคน กลับลูกกรอกที่เป็นสัตว์ เช่น ลูกกรอกสุนัข และลูกกรอกแมว ลูกกรอกก็คือคนหรือสัตว์ซึ่งคลอดออกมาแล้วเสียชีวิต และลูกกรอกโดยมากเมื่อคลอดออกมาจะมีร่างกายเล็กผิดปกติ คนโบราณมักนำมาปิดทองเปลว แล้วนำใส่พาน เก็บไว้เซ่นบูชา ซึ่งมีความเชื่อถือกันว่า วิญญานลูกกรอกนั้น จะช่วยเหลือผู้นำไปบูชาให้เกิดโชคลาภ ทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองหรือค้าขายดี เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กฝาแฝดในยุคโลกาภิวัฒน์ นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาปกติไม่มีอะไรแปลกประหลาด หากแต่ถ้าเป็นสมัยโบราณละก้อต้องจัดว่าเป็นของแปลก เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ทราบเรื่องของฝาแฝดสยามอินทร์ กับจันทร์กันมาบ้าง ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของฝาแฝดที่ร่างกายติดกัน และก็มีชีวิตจนโด่งดังไปทั่วโลก แต่สำหรับฝาแฝดที่นำมาเสนอนี้ มีความแตกต่างกับฝาแฝดสยามโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นฝาแฝดที่เป็นลูกกรอก ซึ่งมีร่างกายเดียวแต่มีศีรษะ 2 หัว มิหนำซ้ำยังเจริญเติบโตได้อีกด้วย�ลูกกรอกฝาแฝดที่กล่าวนี้อยู่ที่วัดอินทราวาส(ประดู่) แขวงบางระมาด เขตตลิงชั่น กรุงเทพมหานคร �� � ย้อนหลังไปเมื่อประมาณปี 2502 ที่แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน จ. กรุงเทพฯ ได้มีครอบครัวชาวสวนสามีภรรยาคู่หนึ่ง พร้อมบุตรสาวอีกหนึ่งคน รวมทั้งหมดเป็นสามคน และบุตรสาวมีอายุประมาณไม่เกิน 2 ขวบ ผู้เป็นสามีนั้นมีชื่อว่า นายชอบ จ้อยเจือ เป็นคนพื้นเพอยู่บางพรม ส่วนภรรยามีชื่อว่า นางชัด จ้อยเจือ เป็นคนพื้นเพอยู่คลองบางน้อย ทั้งสองสามีภรรยามีอาชีพปลูกผักสวนครัวเช่น โหระพา กะเพรา ขิงข่าฯ ใช้ชีวิตเฉกเช่นชาวสวนทั่วไป ดูแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับครอบครัวชาวสวนคนอื่นๆ จนกระทั่งนางชัดผู้เป็นภรรยาได้เกิดตั้งครรถ์ครั้งที่สอง ซึ่งท้องนี้มีลักษณะใหญ่มาก จนผู้พบเห็นมักจะทักนางชัดอยู่บ่อยๆ ว่า สงสัยน่าจะเป็นท้องแฝด ท้องของนางชัดครั้งนี้ตั้งท้องนานอยู่ถึง 9 เดือนกว่า � ในที่สุดวันแห่งการรอคอยของสองสามีภรรยาคู่นี้ก็มาถึง เมื่อนางชัดเริ่มมีอาการเจ็บท้องบ่งบอกถึงลักษณะว่า กำลังจะคลอดแล้ว ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น เพราะในสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนในปัจจุบันนี้ สมัยนั้นชาวบ้านทั่วไปจะอาศัยเดินทางโดยเรือ แต่ในปีนั้นเป็นปีที่ค่อนข้างแล้งน้ำ น้ำแห้งขอดจะนำนางชัดไปส่งโรงพยาบาลเพื่อทำคลอดก็ไม่สะดวก แม่ของนายชอบจึงเตรียมการต้มน้ำ แล้วสั่งให้นายชอบไปตามหมอตำแยมาทำคลอด เมื่อนายชอบได้พาหมอตำแยมาถึง การเตรียมการในการทำคลอดได้เริ่มขึ้นตั้งแต่หัวค่ำเรื่อยมา จนกระทั่งถึงประมาณ ตีหนึ่งเศษๆ อาการเจ็บท้องของนางชัดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนน่าตกใจ จู่ๆนางชัดก็รู้สึกวิงเวียนหน้ามืดปานประหนึ่งว่าใจจะขาด นางชัดเป็นลมสลบไป ในขณะที่นอนสลบนั้นก็ได้ฝันไปว่า มีเด็กผู้ชาย 2 คน มาบอกกับนางชัดว่า เขาได้สละชีวิตแทนแม่ (นางชัด) แม่จะได้อยู่ต่อไปได้อีก เขาไปเสียเองดีกว่าให้แม่ไป หมอตำแยเมื่อเห็นนางชัดมีอาการเช่นนั้นก็ทำการคลอดให้นางชัดจนเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งการทำคลอดคราวนี้ใช้เวลานานมาก จนหมอตำแยก็เหนื่อยแทบขาดใจเหมือนกัน เพราะท้องนางชัดครั้งนี้จัดว่าเป็นการคลอดที่ยากหมอตำแยได้ทำคลอดจนกระทั่งสำเร็จ เด็กได้คลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย แต่ทว่ามีรูปร่างเด็กนิดเดียว มิหนำซ้ำมี 2 ศีรษะแต่มีร่างกายเดียวทารกน้อยได้เสียชีวิตนำพาให้ทั้งหมอตำแยและนายชอบต้องเศร้าเสียใจไม่น้อยกว่าผู้เป็นแม่ ข่าวของทารกน้อยได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งใกล้และไกลต่างก็เดินทางมาเพื่อที่จะมาชมดู จนบ้านนายชอบแน่นขนัดอย่างกับงานวัดก็ไม่ปาน ก็เพราะสมัยนั้นไม่เคยมีลูกกรอกซึ่งเป็นแฝด 2 ศีรษะติดกันแต่มีร่างเดียว โดยมากจะพบเห็ แต่ลูกกรอกธรรมดาเหมือนทารกทั่วไป จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่ ทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็น เมื่อดูแล้วก็ วิพากย์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา ฝ่ายหนึ่งก็มีความเห็นว่าถ้าเกิดนำมาเลี้ยงไว้ อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความเห็นว่าถ้าเกิดนำมาเลี้ยงแล้วปฏิบัติไม่ถูกต้อง หรือเลี้ยงดูเขาไม่ดี ก็จะกลับกลายเป็นโทษแก่คนเลี้ยงเอาได้ เพราะการเลี้ยงลูกกรอกไม่ใช่เลี้ยงดูกันง่ายๆ เวลากินก็ต้องให้เป็นเวลา และต้องให้เขากินก่อน ยิ่งนายชอบเองมีอาชีพทำสวนการที่จะจัดเวลาให้ตรงได้นั้น เป็นการยุ่งยากลำบาก หากลูกกรอกเกิดโกรธขึ้นมา เดี๋ยวจะเอาเรื่องได้ ขนาดลูกกรอกร่างเดียวธรรมดาทั่วๆไป เขาก็ยังเคยโดนกันมานักต่อนักแล้ว ยิ่งนี่มาเป็นลูกกรอกฝาแฝดแบบนี้ด้วยแล้วละก้อ ยิ่งมีฤทธิ์เดชมากกว่าลูกกรอกธรรมดาอีกหลายเท่า นายชอบเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงทำให้เกิดลังเลใจขึ้นในใจ ทั้งกังวลใจทั้งกลัว เมื่อหารือเป็นที่เรียบร้อยแล้วนายชอบจึงจัดแจงนำร่างลูกกรอกฝาแฝดไปถวายที่วัดใหม่เทพพล เมื่อนายชอบ ไปจึงปรากฏว่าท่านเจ้าอาวาสไม่อยู่ เพราะไปกิจนิมนต์ที่นอกวัด นายชอบจึงเปลี่ยนใจนำร่างลูกกรอกฝาแฝดไปถวายที่วัดอินทราวาส(ประดู่) แทน เมื่อไปถึงจึงนำไปถวายให้กับหลวงพ่อจำปา จันทูปโม�ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดในขณะนั้น หลังจากที่นายชอบได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ให้กับหลวงพ่อจำปา�ทราบรายละเอียด และถวายให้หลวงพ่อ�หลวงพ่อจำปาท่านจึงตอบตกลงรับลูกกรอกฝาแฝดเอาไว้ หลวงพ่อจำปา จันทูปโม หรือพระครูจันทคุณาภรณ์�นอกจากจะเป็นเจ้าอาวาสวัดอินทราวาส ก็ยังมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะแขวงบางเชือกหนัง เขต 1 ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์เชี่ยวชาญทั้งสายเวทย์ และยาสมุนไพรรักษาโรค ท่านได้มรณะภาพลงในวันที่ 14 มกราคม 2543 สมัยที่หลวงพ่อจำปา�ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีผู้คนพากันมาให้หลวงพ่อช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ บ้างก็มาขอวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังกันเป็นประจำแทบทุกวัน วัดอินทราวาส(ประดู่)เป็นวัดราษฏร์ เดิมชื่อวัดอินสรเพ็ชร์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมคลองบางพรมฝั่งเหนือ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนชื่อเป็น วัดอินทราวาสแต่เมื่อใด ชาวบ้านมักเรียกว่า�วัดประดู่ � หลังจากที่หลวงพ่อจำปาได้รับซากลูกกรอกฝาแฝดไว้เป็นที่เรียบร้อยท่านก็รีบเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปโรงพยาบาล ศิริราช (แต่ก่อนถนนหนทางยังไม่มี อาศัยแต่เรือและรถเมล์) เพื่อนำมาดองลูกกรอกฝาแฝด�ท่านได้นำมาดองไว้ในขวดโหลจากนั้นท่านก็ตั้งชื่อให้กับลูกกรอกฝาแฝดนี้ว่า�ศรนรินทร์ กับ สินนารายณ์ แรกๆ ก็มีผู้คนมาขอชมจากหลวงพ่อ เพราะเห็นว่าเป็นของแปลกประหลาดซึ่งก็มีเป็นจำนวนมาก แต่พอนานวันเข้าผู้คนก็เริ่มชิน จนเรื่องราวค่อยๆเงียบหายไป ซึ่งเป็นนิสัยสอดรู้สอดเห็นของคนไทยทั่วไป พอสักพักก็จะชินชาลืมเลือนกันไป กระทั่งกลับมาฮือฮากันใหม่อีก เมื่อร่างกายของลูกกรอกฝาแฝดมีการเจริญเติบโตได้เหมือนกับเด็กๆ ที่มีชีวิตทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แม้กระทั่งเส้นผม จนมีขนาดใหญ่ขับขวดโหลที่ใส่ หลวงพ่อจำปาจึงทำการเปลี่ยนขวดโหลบรรจุน้ำยาดองให้ใหม่ เรื่องราวของลูกกรอกฝาแฝดหาได้จบแต่เพียงเท่านี้ไม่ ซึ่งก็เหมือนกับเด็กทั่วไป เมื่อถึงวัยซุกซนก็ต้องซนกันเป็นธรรดา�ศรนรินทร์ กัน สินนารายณ์�ก็เช่นกันมีความซุกซน เพียงแต่ความซุกซนนั้นมันแตกต่างกับเด็กที่มีชีวิตโดยทั่วไป ยิ่งในเวลากลางคืนลูกกรอกฝาแฝดมักจะออกมาหยอกล้อกับผู้คนเสมอ เช่น ภารโรงของโรงเรียนวัดคนหนึ่ง มีหน้าที่ต้องเข้าเวรดูแลความเรียบร้อยในตอนกลางคืน หลังจากที่ตรวจตราดีเป็นที่เรียบร้อยแล้วภารโรงก็จะจัดการปูที่หลับที่นอนและกางมุ้งนอนที่ระเบียงของตัวอาคารโรงเรียน พบหลับได้สักพักก็ต้องตกใจตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กมาวิ่งไล่กันจึงลุกออกมาจากมุ้ง ก็มองหาเด็กไม่เจอและเสียงก็เงียบไป ภารโรงจึงกลับเข้าไปนอนในมุ้งอีก พอเริ่มเคลิ้มๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมาดึงสายมุ้งที่กางเอาไว้ ทั้งดึงทั้งเขย่าและมีเสียงเด็กหัวเราะอย่างสนุกสนาน พอตั้งสติได้ภารโรงก็อาศัยหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้ง วิ่งไม่เหลียวหลังทันที อีกรายหนึ่งเป็นนักเลงขี้เหล้า พอเหล้าเข้าปากก็กลาย เป็นนักเลงใหญ่เที่ยวท้าตีท้าต่อยกับผู้คนเขาทั่วไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจเพราะถือคติว่า " อย่างถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา" คืนหนึ่งนักเลงขี้เมาผู้นี้เมาได้ที่ ก็ท้าตีท้าต่อยเหมือนเช่นเคย จากนั้นก็เดินกลับบ้านซึ่งต้องผ่านวันอินทราวาสนี้เสียด้วย นักเลงขี้เมาผู้นี้เดินไปก็ด่าไป พอเดินโซซัดโซเซมาถึงบริเวณวัน ก็เห็นสุนัขสีดำยืนขวางทางอยู่ จึงด่าไม่เว้นกระทั่งสุนัข เท่านั้นยังไม่พอยังตรงเข้าไปทำท่ายกเท้าจะแตะสุนัขเสียอีก แต่ยังไม่ทันจะได้แตะ ก็มองเห็นสุนัขตัวค่อยๆขยายพองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสุนัขขนาดใหญ่มหึมาราวกับยักษ์ แถมยังมีเสียงหัวเราะออกมาเป็นเด็กผู้ชาย เท่านั้นแหละความซ่าส์ และความเมาก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที ปากก็ร้องว่า ผีผีๆ แล้วก็วิ่งหนีสุดชีวิต เป็นที่ชอบใจของชาวบ้านที่หมั่นไส้กันมานานแล้ว ครั้งหนึ่งมีผู้ชายชาวจีนผู้หนึ่ง วัยกลางคนกับญาติๆ ได้นำเอาของเล่นเด็กมาที่วัด แล้วก็ถามถึงลูกกรอกชาวบ้านจึงแนะนำให้ไปหาหลวงพ่อจำปา�ชาวจีนผู้นั้นได้บอกกับหลวงพ่อว่า�ศรนริทร์ กับ สินนารายณ์�ได้ไปเข้าฝันบอกให้เขาไปซื้อหวยใต้ดินสามตัว และบอกอีกว่าถ้าถูกแล้วให้ซื้อของเล่นไปให้ที่วัดด้วย และในฝันยังบอกอีกว่าเป็นลูกกรอกอยู่ที่วัดอินทราวาส ปรากฏว่าชายชาวจีนถูกเลขท้ายสามตัว ตรงๆได้เงินมามากจึงซื้อของเล่นมาให้ เมื่อชายชาวจีนได้ทราบความเป็นมาของศรนรินทร์ กับสินนารายณ์�จากหลวงพ่อจำปา�จึงเกิดความศรัทธามอบถวายเงินให้หลวงพ่อนำไปสร้างศาลาขนาดเล็ก เพื่อเป็นที่อยู่แก่ลูกกรอกฝาแฝด�แต่ต่อมาภายหลังศาลานี้รื้อไปแล้วพร้อมกับกุฏิเก่าของหลวงพ่อจำปา�ส่วนศาลาในปัจจุบันเป็นศาลาสร้างขึ้นใหม่�� ปัจจุบันนี้มารดาของศรนรินทร์ กับสินนารายณ์�ได้เสียชีวิตได้ 9 ปีแล้ว ส่วนนายชอบผู้เป็นบิดาหลังจากภรรยาเสียจึงได้ไปบวชพักหนึ่งจากนั้นก็สึกออกมา และเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน คงเหลืออยู่ก็แต่เพียง นางสุชาดา จ้อยเจือ ผู้เป็นพี่สาว และจ่าสิบเอกบัญชา จ้อยเจือ ผู้เป็นน้องชายของลูกกรอกฝาแฝดนี้เท่านั้น คุณสุชาดา จ้อยเจือ ขณะนี้มีอายุ 42 ปี ยังคงสืบทอดอาชีพทำสวนอยู่ แต่งงานแล้วมีบุตรสองคน คนโตเป็นผู้ชายและคนเล็กเป็นผู้หญิง ส่วนสามีก็มีรถแมคโครขุดดินให้เช่า คุณสุชาดาได้เล่าย้อนหลังให้ฟังว่า เมื่อวันที่ แต่งงานกันใหม่ๆกับสามี สามีก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของคุณพ่อ คืนแรกสามีนอนไม่ได้เลยทั้งคืน เพราะมีเด็กสองคนมาวิ่งไล่กวดกันรอบๆเตียง ตอนนั้นคุณแม่ชัดยังมีชีวิตอยู่ พอเช้าก็เล่าให้คุณแม่ฟัง ทุกวันคุณแม่จะจัดสำรับกับข้าวเซ่นไหว้ลูกกรอกฝาแฝด คุณแม่จึงให้สามีจุดธูปบอกกล่าว�ลูกกรอกฝาแฝดเสีย จากนั้นก็ไม่มารบกวนให้เห็นอีกเลย เมื่อครั้งที่คุณสุชาดา จ้อยเจือ จะคลอดบุตรชายคนโต ท้องครั้งนั้นมีปัญหา เด็กเกิดรกไม่ออก คุณสุชาดาก็อธิฐานบอกกล่าวกับกับน้องชายซึ่งเป็นลูกกรอกฝาแฝด�ว่า " ให้ช่วยพี่ด้วยนะ อย่าให้พี่และหลานเป็นอะไร" พอตกดึกก็มีความรู้สึกคล้ายกับว่า มีคนมาช่วยเป่าท้องให้คุณสุชาดา ในที่สุดก็รอดมาได้โดยปลอดภัย เพราะศรนรินทร์ กับ สินนารายณ์�มาช่วยเอาไว้ นี้ก็เป็นเรื่องราว เพียงเด็กน้อยของลูกกรอกฝาแฝด�ที่วัดอินทราวาส (ประดู่) วัดอินทราวาส (ประดู่) 6 หมู่ 22 แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 10170 โทร. 02-448-6928 , 02-865-6830 17.) กุมารทอง 2 หัว ศรนรินทร์ สินนารายณ์ วัดประดู่ เปิดตำนาน กุมารทองแฝดสองหัว ศรนรินทร์-สินนารายณ์ วัดประดู่ วัดอินทราวาส ตลิ่งชัน จากรายการวีไอพี ช่อง9 ศรัทธา ความเชื่อ ของชาวบ้านย่านตลิ่งชัน ขอหวย บนบาน ได้สมหวัง วันนี้Horoworld จึงขอตามติดกระแสนี้ นำข้อมูลเกี่ยวกับ กุมารทองแฝดสองหัว ฝากกันค่ะ � กุมารทองแฝดสองหัว ศรนรินทร์-สินนารายณ์� ลูกกรอกนั้นแบ่งออกเป็น สองชนิด คือ ลูกกรอกที่เป็นคน กลับลูกกรอกที่เป็นสัตว์ เช่น ลูกกรอกสุนัข และลูกกรอกแมว ลูกกรอกก็คือคนหรือสัตว์ซึ่งคลอดออกมาแล้วเสียชีวิต และลูกกรอกโดยมากเมื่อคลอดออกมาจะมีร่างกายเล็กผิดปกติ คนโบราณมักนำมาปิดทองเปลว แล้วนำใส่พาน เก็บไว้เซ่นบูชา ซึ่งมีความเชื่อถือกันว่า วิญญานลูกกรอกนั้น จะช่วยเหลือผู้นำไปบูชาให้เกิดโชคลาภ ทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองหรือค้าขายดี เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กฝาแฝดในยุคโลกาภิวัฒน์ นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาปกติไม่มีอะไรแปลกประหลาด หากแต่ถ้าเป็นสมัยโบราณละก้อต้องจัดว่าเป็นของแปลก เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ทราบเรื่องของฝาแฝดสยามอินทร์ กับจันทร์กันมาบ้าง ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของฝาแฝดที่ร่างกายติดกัน และก็มีชีวิตจนโด่งดังไปทั่วโลก แต่สำหรับฝาแฝดที่นำมาเสนอนี้ มีความแตกต่างกับฝาแฝดสยามโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นฝาแฝดที่เป็นลูกกรอก ซึ่งมีร่างกายเดียวแต่มีศีรษะ 2 หัว มิหนำซ้ำยังเจริญเติบโตได้อีกด้วย�ลูกกรอกฝาแฝดที่กล่าวนี้อยู่ที่วัดอินทราวาส(ประดู่) แขวงบางระมาด เขตตลิงชั่น กรุงเทพมหานคร �� � ย้อนหลังไปเมื่อประมาณปี 2502 ที่แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน จ. กรุงเทพฯ ได้มีครอบครัวชาวสวนสามีภรรยาคู่หนึ่ง พร้อมบุตรสาวอีกหนึ่งคน รวมทั้งหมดเป็นสามคน และบุตรสาวมีอายุประมาณไม่เกิน 2 ขวบ ผู้เป็นสามีนั้นมีชื่อว่า นายชอบ จ้อยเจือ เป็นคนพื้นเพอยู่บางพรม ส่วนภรรยามีชื่อว่า นางชัด จ้อยเจือ เป็นคนพื้นเพอยู่คลองบางน้อย ทั้งสองสามีภรรยามีอาชีพปลูกผักสวนครัวเช่น โหระพา กะเพรา ขิงข่าฯ ใช้ชีวิตเฉกเช่นชาวสวนทั่วไป ดูแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับครอบครัวชาวสวนคนอื่นๆ จนกระทั่งนางชัดผู้เป็นภรรยาได้เกิดตั้งครรถ์ครั้งที่สอง ซึ่งท้องนี้มีลักษณะใหญ่มาก จนผู้พบเห็นมักจะทักนางชัดอยู่บ่อยๆ ว่า สงสัยน่าจะเป็นท้องแฝด ท้องของนางชัดครั้งนี้ตั้งท้องนานอยู่ถึง 9 เดือนกว่า � ในที่สุดวันแห่งการรอคอยของสองสามีภรรยาคู่นี้ก็มาถึง เมื่อนางชัดเริ่มมีอาการเจ็บท้องบ่งบอกถึงลักษณะว่า กำลังจะคลอดแล้ว ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น เพราะในสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนในปัจจุบันนี้ สมัยนั้นชาวบ้านทั่วไปจะอาศัยเดินทางโดยเรือ แต่ในปีนั้นเป็นปีที่ค่อนข้างแล้งน้ำ น้ำแห้งขอดจะนำนางชัดไปส่งโรงพยาบาลเพื่อทำคลอดก็ไม่สะดวก แม่ของนายชอบจึงเตรียมการต้มน้ำ แล้วสั่งให้นายชอบไปตามหมอตำแยมาทำคลอด เมื่อนายชอบได้พาหมอตำแยมาถึง การเตรียมการในการทำคลอดได้เริ่มขึ้นตั้งแต่หัวค่ำเรื่อยมา จนกระทั่งถึงประมาณ ตีหนึ่งเศษๆ อาการเจ็บท้องของนางชัดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนน่าตกใจ จู่ๆนางชัดก็รู้สึกวิงเวียนหน้ามืดปานประหนึ่งว่าใจจะขาด นางชัดเป็นลมสลบไป ในขณะที่นอนสลบนั้นก็ได้ฝันไปว่า มีเด็กผู้ชาย 2 คน มาบอกกับนางชัดว่า เขาได้สละชีวิตแทนแม่ (นางชัด) แม่จะได้อยู่ต่อไปได้อีก เขาไปเสียเองดีกว่าให้แม่ไป หมอตำแยเมื่อเห็นนางชัดมีอาการเช่นนั้นก็ทำการคลอดให้นางชัดจนเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งการทำคลอดคราวนี้ใช้เวลานานมาก จนหมอตำแยก็เหนื่อยแทบขาดใจเหมือนกัน เพราะท้องนางชัดครั้งนี้จัดว่าเป็นการคลอดที่ยากหมอตำแยได้ทำคลอดจนกระทั่งสำเร็จ เด็กได้คลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย แต่ทว่ามีรูปร่างเด็กนิดเดียว มิหนำซ้ำมี 2 ศีรษะแต่มีร่างกายเดียวทารกน้อยได้เสียชีวิตนำพาให้ทั้งหมอตำแยและนายชอบต้องเศร้าเสียใจไม่น้อยกว่าผู้เป็นแม่ ข่าวของทารกน้อยได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งใกล้และไกลต่างก็เดินทางมาเพื่อที่จะมาชมดู จนบ้านนายชอบแน่นขนัดอย่างกับงานวัดก็ไม่ปาน ก็เพราะสมัยนั้นไม่เคยมีลูกกรอกซึ่งเป็นแฝด 2 ศีรษะติดกันแต่มีร่างเดียว โดยมากจะพบเห็ แต่ลูกกรอกธรรมดาเหมือนทารกทั่วไป จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่ ทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็น เมื่อดูแล้วก็ วิพากย์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา ฝ่ายหนึ่งก็มีความเห็นว่าถ้าเกิดนำมาเลี้ยงไว้ อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความเห็นว่าถ้าเกิดนำมาเลี้ยงแล้วปฏิบัติไม่ถูกต้อง หรือเลี้ยงดูเขาไม่ดี ก็จะกลับกลายเป็นโทษแก่คนเลี้ยงเอาได้ เพราะการเลี้ยงลูกกรอกไม่ใช่เลี้ยงดูกันง่ายๆ เวลากินก็ต้องให้เป็นเวลา และต้องให้เขากินก่อน ยิ่งนายชอบเองมีอาชีพทำสวนการที่จะจัดเวลาให้ตรงได้นั้น เป็นการยุ่งยากลำบาก หากลูกกรอกเกิดโกรธขึ้นมา เดี๋ยวจะเอาเรื่องได้ ขนาดลูกกรอกร่างเดียวธรรมดาทั่วๆไป เขาก็ยังเคยโดนกันมานักต่อนักแล้ว ยิ่งนี่มาเป็นลูกกรอกฝาแฝดแบบนี้ด้วยแล้วละก้อ ยิ่งมีฤทธิ์เดชมากกว่าลูกกรอกธรรมดาอีกหลายเท่า นายชอบเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงทำให้เกิดลังเลใจขึ้นในใจ ทั้งกังวลใจทั้งกลัว เมื่อหารือเป็นที่เรียบร้อยแล้วนายชอบจึงจัดแจงนำร่างลูกกรอกฝาแฝดไปถวายที่วัดใหม่เทพพล เมื่อนายชอบ ไปจึงปรากฏว่าท่านเจ้าอาวาสไม่อยู่ เพราะไปกิจนิมนต์ที่นอกวัด นายชอบจึงเปลี่ยนใจนำร่างลูกกรอกฝาแฝดไปถวายที่วัดอินทราวาส(ประดู่) แทน เมื่อไปถึงจึงนำไปถวายให้กับหลวงพ่อจำปา จันทูปโม�ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดในขณะนั้น หลังจากที่นายชอบได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ให้กับหลวงพ่อจำปา�ทราบรายละเอียด และถวายให้หลวงพ่อ�หลวงพ่อจำปาท่านจึงตอบตกลงรับลูกกรอกฝาแฝดเอาไว้ หลวงพ่อจำปา จันทูปโม หรือพระครูจันทคุณาภรณ์�นอกจากจะเป็นเจ้าอาวาสวัดอินทราวาส ก็ยังมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะแขวงบางเชือกหนัง เขต 1 ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์เชี่ยวชาญทั้งสายเวทย์ และยาสมุนไพรรักษาโรค ท่านได้มรณะภาพลงในวันที่ 14 มกราคม 2543 สมัยที่หลวงพ่อจำปา�ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีผู้คนพากันมาให้หลวงพ่อช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ บ้างก็มาขอวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังกันเป็นประจำแทบทุกวัน วัดอินทราวาส(ประดู่)เป็นวัดราษฏร์ เดิมชื่อวัดอินสรเพ็ชร์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมคลองบางพรมฝั่งเหนือ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนชื่อเป็น วัดอินทราวาสแต่เมื่อใด ชาวบ้านมักเรียกว่า�วัดประดู่ � หลังจากที่หลวงพ่อจำปาได้รับซากลูกกรอกฝาแฝดไว้เป็นที่เรียบร้อยท่านก็รีบเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปโรงพยาบาล ศิริราช (แต่ก่อนถนนหนทางยังไม่มี อาศัยแต่เรือและรถเมล์) เพื่อนำมาดองลูกกรอกฝาแฝด�ท่านได้นำมาดองไว้ในขวดโหลจากนั้นท่านก็ตั้งชื่อให้กับลูกกรอกฝาแฝดนี้ว่า�ศรนรินทร์ กับ สินนารายณ์ แรกๆ ก็มีผู้คนมาขอชมจากหลวงพ่อ เพราะเห็นว่าเป็นของแปลกประหลาดซึ่งก็มีเป็นจำนวนมาก แต่พอนานวันเข้าผู้คนก็เริ่มชิน จนเรื่องราวค่อยๆเงียบหายไป ซึ่งเป็นนิสัยสอดรู้สอดเห็นของคนไทยทั่วไป พอสักพักก็จะชินชาลืมเลือนกันไป กระทั่งกลับมาฮือฮากันใหม่อีก เมื่อร่างกายของลูกกรอกฝาแฝดมีการเจริญเติบโตได้เหมือนกับเด็กๆ ที่มีชีวิตทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แม้กระทั่งเส้นผม จนมีขนาดใหญ่ขับขวดโหลที่ใส่ หลวงพ่อจำปาจึงทำการเปลี่ยนขวดโหลบรรจุน้ำยาดองให้ใหม่ เรื่องราวของลูกกรอกฝาแฝดหาได้จบแต่เพียงเท่านี้ไม่ ซึ่งก็เหมือนกับเด็กทั่วไป เมื่อถึงวัยซุกซนก็ต้องซนกันเป็นธรรดา�ศรนรินทร์ กัน สินนารายณ์�ก็เช่นกันมีความซุกซน เพียงแต่ความซุกซนนั้นมันแตกต่างกับเด็กที่มีชีวิตโดยทั่วไป ยิ่งในเวลากลางคืนลูกกรอกฝาแฝดมักจะออกมาหยอกล้อกับผู้คนเสมอ เช่น ภารโรงของโรงเรียนวัดคนหนึ่ง มีหน้าที่ต้องเข้าเวรดูแลความเรียบร้อยในตอนกลางคืน หลังจากที่ตรวจตราดีเป็นที่เรียบร้อยแล้วภารโรงก็จะจัดการปูที่หลับที่นอนและกางมุ้งนอนที่ระเบียงของตัวอาคารโรงเรียน พบหลับได้สักพักก็ต้องตกใจตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กมาวิ่งไล่กันจึงลุกออกมาจากมุ้ง ก็มองหาเด็กไม่เจอและเสียงก็เงียบไป ภารโรงจึงกลับเข้าไปนอนในมุ้งอีก พอเริ่มเคลิ้มๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมาดึงสายมุ้งที่กางเอาไว้ ทั้งดึงทั้งเขย่าและมีเสียงเด็กหัวเราะอย่างสนุกสนาน พอตั้งสติได้ภารโรงก็อาศัยหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้ง วิ่งไม่เหลียวหลังทันที อีกรายหนึ่งเป็นนักเลงขี้เหล้า พอเหล้าเข้าปากก็กลาย เป็นนักเลงใหญ่เที่ยวท้าตีท้าต่อยกับผู้คนเขาทั่วไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจเพราะถือคติว่า " อย่างถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา" คืนหนึ่งนักเลงขี้เมาผู้นี้เมาได้ที่ ก็ท้าตีท้าต่อยเหมือนเช่นเคย จากนั้นก็เดินกลับบ้านซึ่งต้องผ่านวันอินทราวาสนี้เสียด้วย นักเลงขี้เมาผู้นี้เดินไปก็ด่าไป พอเดินโซซัดโซเซมาถึงบริเวณวัน ก็เห็นสุนัขสีดำยืนขวางทางอยู่ จึงด่าไม่เว้นกระทั่งสุนัข เท่านั้นยังไม่พอยังตรงเข้าไปทำท่ายกเท้าจะแตะสุนัขเสียอีก แต่ยังไม่ทันจะได้แตะ ก็มองเห็นสุนัขตัวค่อยๆขยายพองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสุนัขขนาดใหญ่มหึมาราวกับยักษ์ แถมยังมีเสียงหัวเราะออกมาเป็นเด็กผู้ชาย เท่านั้นแหละความซ่าส์ และความเมาก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที ปากก็ร้องว่า ผีผีๆ แล้วก็วิ่งหนีสุดชีวิต เป็นที่ชอบใจของชาวบ้านที่หมั่นไส้กันมานานแล้ว ครั้งหนึ่งมีผู้ชายชาวจีนผู้หนึ่ง วัยกลางคนกับญาติๆ ได้นำเอาของเล่นเด็กมาที่วัด แล้วก็ถามถึงลูกกรอกชาวบ้านจึงแนะนำให้ไปหาหลวงพ่อจำปา�ชาวจีนผู้นั้นได้บอกกับหลวงพ่อว่า�ศรนริทร์ กับ สินนารายณ์�ได้ไปเข้าฝันบอกให้เขาไปซื้อหวยใต้ดินสามตัว และบอกอีกว่าถ้าถูกแล้วให้ซื้อของเล่นไปให้ที่วัดด้วย และในฝันยังบอกอีกว่าเป็นลูกกรอกอยู่ที่วัดอินทราวาส ปรากฏว่าชายชาวจีนถูกเลขท้ายสามตัว ตรงๆได้เงินมามากจึงซื้อของเล่นมาให้ เมื่อชายชาวจีนได้ทราบความเป็นมาของศรนรินทร์ กับสินนารายณ์�จากหลวงพ่อจำปา�จึงเกิดความศรัทธามอบถวายเงินให้หลวงพ่อนำไปสร้างศาลาขนาดเล็ก เพื่อเป็นที่อยู่แก่ลูกกรอกฝาแฝด�แต่ต่อมาภายหลังศาลานี้รื้อไปแล้วพร้อมกับกุฏิเก่าของหลวงพ่อจำปา�ส่วนศาลาในปัจจุบันเป็นศาลาสร้างขึ้นใหม่�� ปัจจุบันนี้มารดาของศรนรินทร์ กับสินนารายณ์�ได้เสียชีวิตได้ 9 ปีแล้ว ส่วนนายชอบผู้เป็นบิดาหลังจากภรรยาเสียจึงได้ไปบวชพักหนึ่งจากนั้นก็สึกออกมา และเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน คงเหลืออยู่ก็แต่เพียง นางสุชาดา จ้อยเจือ ผู้เป็นพี่สาว และจ่าสิบเอกบัญชา จ้อยเจือ ผู้เป็นน้องชายของลูกกรอกฝาแฝดนี้เท่านั้น คุณสุชาดา จ้อยเจือ ขณะนี้มีอายุ 42 ปี ยังคงสืบทอดอาชีพทำสวนอยู่ แต่งงานแล้วมีบุตรสองคน คนโตเป็นผู้ชายและคนเล็กเป็นผู้หญิง ส่วนสามีก็มีรถแมคโครขุดดินให้เช่า คุณสุชาดาได้เล่าย้อนหลังให้ฟังว่า เมื่อวันที่ แต่งงานกันใหม่ๆกับสามี สามีก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของคุณพ่อ คืนแรกสามีนอนไม่ได้เลยทั้งคืน เพราะมีเด็กสองคนมาวิ่งไล่กวดกันรอบๆเตียง ตอนนั้นคุณแม่ชัดยังมีชีวิตอยู่ พอเช้าก็เล่าให้คุณแม่ฟัง ทุกวันคุณแม่จะจัดสำรับกับข้าวเซ่นไหว้ลูกกรอกฝาแฝด คุณแม่จึงให้สามีจุดธูปบอกกล่าว�ลูกกรอกฝาแฝดเสีย จากนั้นก็ไม่มารบกวนให้เห็นอีกเลย เมื่อครั้งที่คุณสุชาดา จ้อยเจือ จะคลอดบุตรชายคนโต ท้องครั้งนั้นมีปัญหา เด็กเกิดรกไม่ออก คุณสุชาดาก็อธิฐานบอกกล่าวกับกับน้องชายซึ่งเป็นลูกกรอกฝาแฝด�ว่า " ให้ช่วยพี่ด้วยนะ อย่าให้พี่และหลานเป็นอะไร" พอตกดึกก็มีความรู้สึกคล้ายกับว่า มีคนมาช่วยเป่าท้องให้คุณสุชาดา ในที่สุดก็รอดมาได้โดยปลอดภัย เพราะศรนรินทร์ กับ สินนารายณ์�มาช่วยเอาไว้ นี้ก็เป็นเรื่องราว เพียงเด็กน้อยของลูกกรอกฝาแฝด�ที่วัดอินทราวาส (ประดู่) วัดอินทราวาส (ประดู่) 6 หมู่ 22 แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 10170 โทร. 02-448-6928 , 02-865-6830
กุมารทอง 1.46.32.87	ความคิดเห็นที่ 10 10/08/2011 , 18:45 Quote 19.) "กุมารทอง" หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน ห้วงนี้นักสะสมมีความสนใจเครื่องรางของขลัง "กุมารทอง" กันมาก หลังจากที่รายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งไปนำเสนอ กำลังมาแรงในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา "กุมารทอง" หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน จ.เพชรบูรณ์ สร้างเพื่อนำจตุปัจจัยไปสร้างเจดีย์พระอรหันต์ 108 บนยอดเขาซับตะเคียน การสร้างกุมารทองรุ่นนี้เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะหลวงปู่ขุ้ยเคยสร้างกุมารทองขนาดเล็ก ลูกศิษย์นำไปใช้แล้วเล่าลือกันว่าเข้มขลัง ยิ่งเลี้ยงยิ่งเรียกใช้ ยิ่งไหว้วานบนบอกบ่อยๆ ยิ่งขลังมาก มีตัวมีตนออกมาเดินเล่นให้เห็นกันมานักต่อนัก เข้าฝันบอกหวย บอกเตือนภัยก็บ่อย แม้แต่เข้าฝันขอขนม ขอน้ำแดง ก็มีมาแล้ว ยิ่งเรื่องเรียกลูกค้า หาลูกข่ายธุรกิจขายตรง กุมารหลวงปู่ขุ้ยนี่ไม่แพ้ใคร ดังนั้น ตัวแทนสินค้าขายตรงมีพกติดตัวกันมาก หลายคนรอให้หลวงปู่ขุ้ยสร้างกุมารทองออกมาให้บูชาอีก ถึงวันนี้ที่รอคอย หลวงปู่ขุ้ยได้สร้างกุมารทองท่ากวักเรียกเงิน และแบบมือรับทรัพย์ ทั้งขนาดบูชาและขนาดห้อยคอออกให้ลูกศิษย์ได้เอาไปใช้กัน หลวงปู่ขุ้ยสื่อญาณกุมารให้พ่อแม่ (หมายถึงคนเลี้ยงต้องตั้งชื่อให้ทุกตน) ขนาดบูชาขนาด 3 นิ้ว และองค์เล็กห้อยคอสร้างด้วย เป็นชนวนหล่อตะปูโลงเก่า ผสมสายล่อฟ้าเก่า อุด ดิน 7 ป่าช้า ดิน 7 มงคล 7 ที่ คือ ดิน 7 นคร 9 บุรี ดินทอง 7 เมือง ดิน 7 ถ้ำ ดิน 7 โป่ง ดิน 7 นา ดิน 7 ท่า ดิน 7 สวน ว่านยา 7 ชนิด ว่านกุมารทอง 7 หัว ผงพรายกุมาร ผงพรายตะเคียน ผงมหาภูต ผงแม่ธาตุ ผงนะหน้าทอง เป็นต้น มวลสารที่นำมาสร้างกุมารทองรุ่นนี้ล้วนเป็นมวลสารมงคลที่แรงในด้านการผูกหุ่นขึ้นรูป โดยผงทั้งหมดจะห่อผ้าขาวและอุดไว้ที่ฐาน ส่วนองค์เล็กก็อุดผงนี้สดๆ ให้เห็นกันเลย ได้ผงชั้นยอดอย่างนี้มาสร้างกุมารทองและปลุกเสกเชิญญาณโดยหลวงปู่ขุ้ย พระเถระชั้นเยี่ยม ทำให้กุมารมีฤทธิ์มาก ใครเอาไปเลี้ยงก็เฮี้ยน เห็นตัวช่วยได้ทุกๆ อย่าง ท่านได้ตั้งธาตุให้มีฤทธิ์มีเดชมีขันธ์ 5 ใส่อาการ 32 ให้ครบ ไล่ตั้งแต่เส้นผมจนถึงปลายเท้า จากปลายเท้าเข้าสู่เส้นผม โดยอนุโลมปฏิโลม 32 ครั้ง จนเกิดนิมิตอาการ 32 ประการมีตัวตนมีชีวิตจิตใจ เป็นญาณของ กุมารทอง ลงอักขระซ้ำเจิมเบิกเนตรอีกครั้ง เพื่อความขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งๆ ขึ้น พุทธานุภาพของกุมารทองคอยช่วยเหลืออุดหนุนนำโชค คอยเรียกทรัพย์เงินทอง ผู้เลี้ยงกุมารทองจะหาความยากจนไม่ได้ คำว่า อด อยาก ยากจน จะมิมีวันเกิดขึ้น จะมีกินมีใช้ตลอดชีวิตทำมาค้าขึ้น กิจการเจริญรุ่งเรือง มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เรียกลูกค้าเข้าร้าน ติดต่อการงานราบรื่น เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เมื่อท่านนำกุมารทองไปเลี้ยงสักระยะหนึ่งจะรู้ว่ากุมารของหลวงปู่ขุ้ย แน่จริงไม่เหมือนใคร กุมารทองบูชาเนื้อชนวนหล่อ ขนาด 3 นิ้ว สร้าง จำนวน 599 ตน องค์เล็กขนาด 1 นิ้วห้อยคอ สร้างเนื้อชนวนหล่อจำนวน 599 ตน วัดซับตะเคียน� ตำบลท่าด้วง� อำเภอหนองไผ่� จังหวัดเพชรบูรณ์ จากวัดซับตะเคียนเรื่องหมายเลขโทรศัพท์ทางวัดขอเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เบอร์เดิม 086-1993554 และ 081-1716356 เบอร์ใหม่ 081-1108704 (พระอาจารย์ลอย) และ 083-9538444 (กรรมการวัดและคนขับรถหลวงปู่) 19.) "กุมารทอง" หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน ห้วงนี้นักสะสมมีความสนใจเครื่องรางของขลัง "กุมารทอง" กันมาก หลังจากที่รายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งไปนำเสนอ กำลังมาแรงในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา "กุมารทอง" หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน จ.เพชรบูรณ์ สร้างเพื่อนำจตุปัจจัยไปสร้างเจดีย์พระอรหันต์ 108 บนยอดเขาซับตะเคียน การสร้างกุมารทองรุ่นนี้เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะหลวงปู่ขุ้ยเคยสร้างกุมารทองขนาดเล็ก ลูกศิษย์นำไปใช้แล้วเล่าลือกันว่าเข้มขลัง ยิ่งเลี้ยงยิ่งเรียกใช้ ยิ่งไหว้วานบนบอกบ่อยๆ ยิ่งขลังมาก มีตัวมีตนออกมาเดินเล่นให้เห็นกันมานักต่อนัก เข้าฝันบอกหวย บอกเตือนภัยก็บ่อย แม้แต่เข้าฝันขอขนม ขอน้ำแดง ก็มีมาแล้ว ยิ่งเรื่องเรียกลูกค้า หาลูกข่ายธุรกิจขายตรง กุมารหลวงปู่ขุ้ยนี่ไม่แพ้ใคร ดังนั้น ตัวแทนสินค้าขายตรงมีพกติดตัวกันมาก หลายคนรอให้หลวงปู่ขุ้ยสร้างกุมารทองออกมาให้บูชาอีก ถึงวันนี้ที่รอคอย หลวงปู่ขุ้ยได้สร้างกุมารทองท่ากวักเรียกเงิน และแบบมือรับทรัพย์ ทั้งขนาดบูชาและขนาดห้อยคอออกให้ลูกศิษย์ได้เอาไปใช้กัน หลวงปู่ขุ้ยสื่อญาณกุมารให้พ่อแม่ (หมายถึงคนเลี้ยงต้องตั้งชื่อให้ทุกตน) ขนาดบูชาขนาด 3 นิ้ว และองค์เล็กห้อยคอสร้างด้วย เป็นชนวนหล่อตะปูโลงเก่า ผสมสายล่อฟ้าเก่า อุด ดิน 7 ป่าช้า ดิน 7 มงคล 7 ที่ คือ ดิน 7 นคร 9 บุรี ดินทอง 7 เมือง ดิน 7 ถ้ำ ดิน 7 โป่ง ดิน 7 นา ดิน 7 ท่า ดิน 7 สวน ว่านยา 7 ชนิด ว่านกุมารทอง 7 หัว ผงพรายกุมาร ผงพรายตะเคียน ผงมหาภูต ผงแม่ธาตุ ผงนะหน้าทอง เป็นต้น มวลสารที่นำมาสร้างกุมารทองรุ่นนี้ล้วนเป็นมวลสารมงคลที่แรงในด้านการผูกหุ่นขึ้นรูป โดยผงทั้งหมดจะห่อผ้าขาวและอุดไว้ที่ฐาน ส่วนองค์เล็กก็อุดผงนี้สดๆ ให้เห็นกันเลย ได้ผงชั้นยอดอย่างนี้มาสร้างกุมารทองและปลุกเสกเชิญญาณโดยหลวงปู่ขุ้ย พระเถระชั้นเยี่ยม ทำให้กุมารมีฤทธิ์มาก ใครเอาไปเลี้ยงก็เฮี้ยน เห็นตัวช่วยได้ทุกๆ อย่าง ท่านได้ตั้งธาตุให้มีฤทธิ์มีเดชมีขันธ์ 5 ใส่อาการ 32 ให้ครบ ไล่ตั้งแต่เส้นผมจนถึงปลายเท้า จากปลายเท้าเข้าสู่เส้นผม โดยอนุโลมปฏิโลม 32 ครั้ง จนเกิดนิมิตอาการ 32 ประการมีตัวตนมีชีวิตจิตใจ เป็นญาณของ กุมารทอง ลงอักขระซ้ำเจิมเบิกเนตรอีกครั้ง เพื่อความขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งๆ ขึ้น พุทธานุภาพของกุมารทองคอยช่วยเหลืออุดหนุนนำโชค คอยเรียกทรัพย์เงินทอง ผู้เลี้ยงกุมารทองจะหาความยากจนไม่ได้ คำว่า อด อยาก ยากจน จะมิมีวันเกิดขึ้น จะมีกินมีใช้ตลอดชีวิตทำมาค้าขึ้น กิจการเจริญรุ่งเรือง มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เรียกลูกค้าเข้าร้าน ติดต่อการงานราบรื่น เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เมื่อท่านนำกุมารทองไปเลี้ยงสักระยะหนึ่งจะรู้ว่ากุมารของหลวงปู่ขุ้ย แน่จริงไม่เหมือนใคร กุมารทองบูชาเนื้อชนวนหล่อ ขนาด 3 นิ้ว สร้าง จำนวน 599 ตน องค์เล็กขนาด 1 นิ้วห้อยคอ สร้างเนื้อชนวนหล่อจำนวน 599 ตน วัดซับตะเคียน� ตำบลท่าด้วง� อำเภอหนองไผ่� จังหวัดเพชรบูรณ์ จากวัดซับตะเคียนเรื่องหมายเลขโทรศัพท์ทางวัดขอเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เบอร์เดิม 086-1993554 และ 081-1716356 เบอร์ใหม่ 081-1108704 (พระอาจารย์ลอย) และ 083-9538444 (กรรมการวัดและคนขับรถหลวงปู่)